วัดความดีธุรกิจด้วย GCI เข็มทิศนำทางสู่ความยั่งยืนที่ “วัดผลได้จริง”

5 มิถุนายน 2568
 
ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราทุกคนมี “แว่นตาพิเศษ” ที่มองปุ๊บก็รู้เลยว่าบริษัทกำลังทำอะไรดี ๆ ให้กับโลกใบนี้บ้าง? ไม่ใช่แค่คำโฆษณาสวยหรู แต่เป็นการกระทำจริงๆ ที่วัดผลได้ผ่าน UNCTAD GCI ภายใต้เป้าหมายใหญ่ 17 ข้อที่เรียกว่า “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” หรือ SDGs เพื่อช่วยกันทำให้โลกเราดีขึ้น แต่ปัญหาคือ แล้วธุรกิจจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นช่วยโลกจริง ๆ
โดยโครงการ Krungsri ESG Academy ได้จัดหลักสูตรอบรม ESG สุดเข้มข้น และร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอย่าง ผศ.ชล บุนนาค ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) ที่มาให้ความกระจ่างในเรื่องนี้
UNCTAD GCI ชื่อเต็มๆ อาจจะฟังดูวิชาการหน่อยแต่เราเรียกสั้น ๆ ได้ว่า GCI ซึ่งย่อมาจาก Guidance on Core Indicators for Sustainability and SDG Impact Reporting เปรียบเหมือน “เข็มทิศ” หรือ “คู่มือ” ที่ทาง UNCTAD พัฒนาขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางให้ธุรกิจทั่วโลก ไม่ว่าจะเล็กใหญ่หรือทำอะไรก็ตาม
สามารถวัดผลและเล่าเรื่องการทำดีของตัวเองได้อย่างชัดเจนและน่าเชื่อถือ ลองนึกภาพบริษัทที่เมื่อก่อนอยากจะช่วยโลก แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน GCI จะช่วยให้เห็นว่าบริษัทยังปล่อยน้ำเสียเยอะไปหน่อยนะ แม้มีการจ้างงานคนในชุมชนก็ตาม GCI ช่วยให้ธุรกิจเห็นทั้งจุดที่ต้องปรับปรุงและจุดแข็งของตัวเอง
GCI จึงช่วยให้ธุรกิจหาแนวทางปรับปรุงที่ไม่ได้แค่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือทำให้พนักงานมีความสุขเท่านั้น แต่ยังช่วยชี้ให้คนอื่นเห็นภาพชัดมากขึ้น เมื่อนักลงทุนเห็นภาพชัดเจนก็พร้อมที่จะมาร่วมลงทุนด้วย ลูกค้าที่เห็นชัดว่าสินค้าไม่ได้ทำร้ายโลก ก็อยากสนับสนุนมากขึ้น พนักงานเองก็ภูมิใจที่ได้ทำงานในองค์กรที่ช่วยดูแลโลก
อธิบายให้เข้าใจ GCI ชัดขึ้น คือชุดตัวชี้วัดง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจมองเห็นว่าการดำเนินงานของตัวเองนั้นส่งผลกระทบใน 4 ด้านสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น

- ด้านเศรษฐกิจ (Economic): การทำธุรกิจที่สร้างงาน สร้างรายได้ และเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ
- ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental): การดูแลโลกของเรา ลดผลกระทบ ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า
- ด้านสังคม (Social): การดูแลพนักงาน ชุมชน และสังคมรอบข้างให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
- ด้านธรรมาภิบาล (Governance): การบริหารจัดการธุรกิจด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรม
หลังเห็นตัวชี้วัดแล้ว บางคนอาจจะคิดว่า GCI ก็เป็นแค่เรื่องของบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น แต่นั่นไม่จริงเลยเพราะ GCI มีความสำคัญกับทุกคนและทุกธุรกิจจริงๆ ในประเทศไทยเองก็มีการสนับสนุนให้ธุรกิจไทยหันมาใส่ใจเรื่องความยั่งยืนผ่านการใช้เข็มทิศอย่าง GCI เช่น โครงการ “Krungsri ESG Academy”
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นขอยกกรณีศึกษาจาก “บริษัท เพื่อสังคมที่ดีงาม จำกัด” ที่เคยเข้าร่วมกับโครงการ Krungsri ESG Academy โดยตัวอย่างผลการประเมิน GCI โดยคะแนนเต็มของแต่ละตัวชี้วัดคือ 100 คะแนน ซึ่งบริษัทนี้ได้คะแนนรวม GCI อยู่มากกว่า 50 คะแนน โดยแบ่งออกเป็น

- ด้านเศรษฐกิจ บริษัทนี้มีการจ้างงานและสร้างรายได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อดูตัวชี้วัดเชิงลึก เช่น การลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนหรือการวิจัยนวัตกรรม พบว่ายังมีโอกาสให้สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อีกมาก
- ด้านสิ่งแวดล้อม การใช้น้ำหรือจัดการของเสียก็ทำได้ดีระดับหนึ่ง แต่พอไปดูเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการใช้พลังงานทางเลือกกลับยังเห็นพื้นที่ที่รอให้บริษัทเข้าไปดูแลและพัฒนาได้อีกจำนวนมาก
- ด้านสังคม บริษัทนี้เป็นที่รักของชุมชน ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้กับชุมชนได้ดี แต่ตัวชี้วัด GCI ก็ยังชี้ไปที่เรื่องนโยบายส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาคของพนักงาน ที่เป็น "การบ้าน" ต้องใส่ใจเพิ่มขึ้น
- ด้านธรรมาภิบาล ได้รับ 99 คะแนน ซึ่งมาจากความโปร่งใสในการตรวจสอบ และระบบการบริหารจัดการภายใน ชี้ให้เห็นว่าบริษัทนี้มีความน่าเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งมาก ๆ
จะเห็นว่า GCI ช่วยให้ธุรกิจมองเห็นตัวเองรอบด้าน รู้ว่าตรงไหนคือจุดเด่น และตรงไหนคือโอกาสที่จะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งปัจจุบันในไทยมีหลายโครงการที่ช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจไทยหันมาใส่ใจเรื่องความยั่งยืนและเรียนรู้ตัวชี้วัด GCI มากขึ้น เช่น โครงการ Krungsri ESG Academy ที่ทางธนาคารกรุงศรีอยุธยา จัดขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างแผนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ความยั่งยืน (ESG Transition Plan) ของตัวเองได้จริง โดยเฉพาะการให้ความรู้ความเข้าใจในหลักการและใช้ตัวชี้วัด GCI ในการวางแผนและวัดผลการดำเนินการ
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะโลกต้องการ "นักธุรกิจหัวใจสีเขียว" มากขึ้นทุกวัน และ GCI ก็พร้อมจะเป็นเข็มทิศนำทางให้กับการเดินทางครั้งสำคัญนี้
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา