หลังจากที่เราได้เริ่มต้นด้วยการแยกแยะและจัดลำดับความสำคัญของประเด็นต่างๆ ในแผนงาน Transition Plan โดยพิจารณาทั้งในส่วนของกฎหมายบังคับ (Force) ความต้องการของผู้บริโภค (Driver) และแนวโน้มในอนาคต (Trend) อย่างเป็นระบบ จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นี้เองที่นำเราไปสู่คำถามใหญ่คำถามต่อไปว่า
“แล้วเราจะเริ่มต้นทำโครงการเพื่อความยั่งยืนได้อย่างไร?”
นี่คือคำถามที่โครงการ Krungsri ESG Academy 2025 พยายามตอบอย่างจริงจัง และเพื่อให้การเริ่มต้นของผู้เข้าร่วมโครงการมีความหมายและเป็นไปได้จริง ทีมผู้ออกแบบจึงได้นำเครื่องมืออย่าง Design Thinking และหลักการ Stakeholder Management มาใช้ประกอบในกิจกรรม Workshop เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถออกแบบโครงการด้าน ESG ที่ตอบโจทย์กับธุรกิจของตนเองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรอบด้าน
แนวคิดของ อาจารย์เอ็ดเวิร์ด ฟรีแมน ถูกหยิบยกมาเป็นแก่นสำคัญของการเรียนรู้ในครั้งนี้ ซึ่งเขาเสนอว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ไม่ได้หมายถึงแค่ผู้ถือหุ้น แต่คือทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ชุมชน หรือแม้แต่สิ่งแวดล้อม
ดังนั้น การบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงไม่ใช่เรื่องของภาพลักษณ์ แต่คือหัวใจของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน เราต้องเริ่มจากคำถามว่า “ธุรกิจของเราส่งผลกระทบกับใครบ้าง?” และ “เราควรจัดลำดับความสำคัญกับใครก่อน?” คำตอบของคำถามนี้จะนำไปสู่การคัดเลือกโครงการ ESG ที่เหมาะสมที่สุดกับบริบทขององค์กรของแต่ละท่าน
ในขณะเดียวกัน Design Thinking ก็เข้ามาเสริมพลังให้กระบวนการทั้งหมดนี้ทรงพลังยิ่งขึ้น เพราะ Design Thinking ไม่ใช่แค่เทคนิคการออกแบบ แต่มันคือกระบวนการทำความเข้าใจความต้องการของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ผ่านการสำรวจ Pain Point ของผู้ใช้งานจริงและการตั้งคำถามอย่างไม่รู้จบ
เมื่อ Design Thinking ถูกนำมาใช้ร่วมกับ ESG ซึ่งเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกับผู้คนมากมาย ตั้งแต่พนักงาน ลูกค้า ชุมชน ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐ ก็เปรียบเสมือนกับการ “ติดอาวุธ” ทางความคิดให้กับผู้ประกอบการในการออกแบบโครงการที่ทั้งสร้างสรรค์และตอบโจทย์อย่างแท้จริง
ภายในกิจกรรม Workshop ที่จัดขึ้นในโครงการ Krungsri ESG Academy 2025 ผู้เข้าร่วมจากหลากหลายอุตสาหกรรมได้เข้ามาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อจำลองกระบวนการของ Design Thinking ผ่านการเรียนรู้แบบลงมือทำจริง โดยเริ่มต้นจาก 4 ขั้นตอนหลักที่เปิดประตูให้พวกเขาได้มองเห็นปัญหาจากมุมใหม่ และออกแบบแนวทางการแก้ไขที่เป็นไปได้จริง โดยเริ่มจาก
- ค้นหาจุดร่วมจากความหลากหลาย (Empathize & Define)
เป็นขั้นตอนแรกที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจปัญหาและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างลึกซึ้ง ในกิจกรรมนี้เริ่มต้นจากการให้แต่ละองค์กรระบุประเด็น ESG ที่ตนเองให้ความสำคัญ แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มเพื่อหา “จุดร่วม” หรือปัญหาที่ส่วนใหญ่เผชิญเหมือนกัน จากนั้นจึงนำปัญหาร่วมนั้นมาตั้งเป็นโจทย์ที่ชัดเจนและสร้างสรรค์ในรูปแบบ “เราจะ...ได้อย่างไร (How Might We...?)” เพื่อเป็นทิศทางในการระดมสมองต่อไป
- ระดมสมองและสร้างสรรค์แนวคิด (Ideate)
เมื่อได้โจทย์ที่ชัดเจนแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนของการระดมความคิดเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ทั้งหมด ในกิจกรรมนี้ วิทยากรได้กระตุ้นให้ทุกกลุ่มคิดนอกกรอบและเสนอไอเดียให้ได้มากที่สุดโดยไม่ต้องกังวลถึงข้อจำกัดใด ๆ ในช่วงแรก แม้แต่ความคิดที่ดูเหมือน “เป็นไปไม่ได้” ก็ได้รับการสนับสนุนให้เสนอขึ้นมา เพื่อเปิดกว้างให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ
- สร้างต้นแบบ (Prototype)
หลังจากได้แนวคิดที่หลากหลายจากการระดมสมอง กลุ่มจะคัดเลือกแนวคิดที่มีศักยภาพที่สุดมาพัฒนาให้เป็น “ต้นแบบ” ที่สามารถนำเสนอให้เห็นภาพและจับต้องได้ ซึ่งต้นแบบไม่จำเป็นต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่อาจเป็นได้ทั้งผลิตภัณฑ์หรือแผนผังการทำงานรูปแบบใหม่
- ทดสอบและรับฟังความคิดเห็น (Test)
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการคิด คือการนำต้นแบบที่สร้างขึ้นไปทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบนี้จะถูกนำกลับมาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาแนวคิดให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งกระบวนการนี้จะทำซ้ำเป็นวงจรเล็ก ๆ เพื่อให้ได้คำตอบและโซลูชันที่ตรงจุดที่สุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยและรวดเร็วกว่าการเปิดตัวโครงการเต็มรูปแบบ
เมื่อแต่ละกลุ่มได้ “ต้นแบบ” มาแล้ว กระบวนการต่อไปจะนำไปสู่การสร้างสรรค์โครงการนวัตกรรม ESG ที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการต่อยอดทางธุรกิจ ยกกรณีจากโครงการที่เกิดขึ้นใน Workshop อย่างโดดเด่นและน่าสนใจทั้ง
- โครงการสร้างรายได้จากของเสีย: ด้วยการพลิกโฉมการจัดการของเสีย โดยนำหนังปลาแซลมอนซึ่งเป็น Waste ในกระบวนการผลิตอาหาร มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งรสไข่เค็มและรสโนริวาซาบิ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ต้นแบบจริงอีกด้วย
- โครงการดักจับคาร์บอน: ด้วยการเสนอแนวคิดการใช้เทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (Carbon Capture Utilization Storage) เนื่องจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมต้องมีการปล่อยคาร์บอน แต่ถ้าเราดักจับได้ก่อนจะทำให้การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยคาร์บอนที่ดักจับได้จะถูกเก็บไว้ใต้ดินเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการปิโตรเคมี และยังต่อยอดความคิดไปถึงผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคทั่วไป เช่น แคปซูลดักจับคาร์บอนสำหรับรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล แล้วนำแคปซูลนั้นมาขายคืนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้
- โครงการตู้สะบิน: โดยเป็นโครงการที่ล้อไปกับ “ตู้เต่าบิน” ด้วยการนำเสนอแนวคิด “ตู้แยกขยะอัจฉริยะ” ที่ใช้ AI ในการคัดแยกขยะโดยอัตโนมัติพร้อมทำความสะอาด ซึ่งโรงงานที่ติดตั้งตู้นี้จะได้รับสิทธิพิเศษจาก BOI และสิทธิจากภาษี พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้งานด้วยการมอบคะแนนสะสมที่สามารถนำไปแลกซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ รวมไปถึงนำคะแนนไปใช้ในการซื้อสินค้า เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างลงตัว
- โครงการรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์: ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่มักถูกมองข้าม คือการจัดการซากแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุการใช้งานหรือเกิดความเสียหาย พร้อมเสนอแนวทางการสร้างธุรกิจรีไซเคิลเพื่อนำแร่ธาตุมีมูลค่าสูงอย่างตัวเฟรมอลูมิเนียมและกระจก หรือแม้แต่ซิลิคอนเพื่อนำกลับมาผลิตเป็นโซลาร์เซลล์ใหม่หรือส่งออก เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้พลังงานทางเลือกและลดใช้พลังงานฟอสซิลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
- โครงการ Resource Management: โดยการนำเทคโนโลยีอย่าง AI, Robot และ IoT เข้ามาใช้ในการตรวจจับกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้มีการใช้ Resource จำนวนมาก รวมไปถึงการใช้บุคลากรที่เกินความจำเป็นและป้องกันความผิดพลาดที่เกิดจากทีมงาน (Human Error) ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้กับทุกธุรกิจ เทคโนโลยีจะช่วยคำนวณว่าจะต้องใช้ Resource มากแค่ไหนในแต่ละโครงการ โดยไม่กระทบต่อการจ้างงาน
- โครงการ Smart Factory: ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ผ่านแอปพลิเคชันในการตรวจสอบการใช้พลังงาน เพื่อป้องกันการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น สามารถสั่งปิดการใช้งานได้โดยอัตโนมัติ เพื่อติดตามการใช้พลังงานเพื่อลดการใช้ รวมถึงยังสามารถแสดงผล Dashboard ให้กับผู้บริหารได้ด้วย
จากการทำ Workshop ในครั้งนี้ โครงการ Krungsri ESG Academy 2025 ได้ชี้ให้เห็นว่า “Design Thinking” ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง ช่วยเปลี่ยนความท้าทายด้าน ESG ให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ ๆ และขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในที่สุด