ทำงานหนักเกินไปไม่ได้ประโยชน์ คนไทยติดอันดับชีวิต Work Life (ไร้) Balance
จากผลสำรวจ “เมืองที่ประชากรมีชั่วโมงทำงานยาวนาน” และ “ชีวิตขาดสมดุลมากที่สุดในโลก” หรือ CITIES WITH THE OVERWORKED ปี 2564 ของ KSI พบว่า กรุงเทพฯ ติดอันดับที่ 3 ของเมืองที่คนทำงานหนักที่สุดในโลก ซึ่งก็คือคนไทยกำลังประสบปัญหา “Work ไร้ Balance” หรือมีแนวโน้มทำงานหนักเกินไป ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการอาการ
Burn out หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน และนำไปสู่ภาวะสมองล้าได้ในที่สุด
3 ปัจจัยหลักที่เป็นเกณฑ์วัด Work Life (ไร้) Balance ของ KSI
- ความเข้มงวดในงาน (Work Intensity) วัดจากการทำงานนอกสถานที่, จำนวนประชากรที่ทำงานล่วงเวลา, วันหยุดขั้นต่ำขององค์กร, วันหยุดที่พนักงานได้ใช้ไป, จำนวนคนว่างงาน, จำนวนผู้มีงานทำ, อัตราเงินเฟ้อ, การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรโดยได้รับค่าจ้าง
- สภาพแวดล้อมทางสังคม (Society and Institutions) วัดจากการดูแลสุขภาพกาย, การดูแลสุขภาพใจ, การมีส่วนร่วมกับองค์กร, จำนวนปีที่ทำงาน
- ความรื่นรมย์ในชีวิต (City Liveability) วัดจากความสามารถในการใช้จ่าย, ความสุขในการทำงาน, การใช้เวลาพักผ่อน, ความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ, คุณภาพอากาศ, การเข้าถึงบริการสุขภาพ
มาสำรวจตัวเอง คุณอยู่ในกลุ่ม “ทำงานหนัก” หรือไม่?
หากคุณทำงานเกิน 48 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ถือว่า “เป็นคนที่ทำงานหนัก” (Overworked) ตามหลักเกณฑ์ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization หรือ ILO โดยพิจารณาจาก “ช่วงระยะเวลาในการทำงาน” ซึ่งการที่คุณทำงานหนักนาน ๆ จะทำให้เริ่มคิดงานไม่ออก ไม่ทันใจ หรือไม่มีสมาธิเหมือนเดิม ซึ่งเป็นสัญญาณนำไปสู่ “ภาวะสมองล้า”
"ภาวะสมองล้า" คืออะไร
Brain Fog Syndrome หรือภาวะสมองล้า เกิดจากสมองทำงานหนักมาก อาการที่พบบ่อยคือ รู้สึกหัวตื้อ มึนงง ปวดหัว คิดช้า จำเรื่องราวหรือสิ่งที่เพิ่งจะทำลงไปไม่ได้ เหนื่อยล้าทางจิตใจง่าย อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ หากปล่อยไว้เรื้อรัง อาจมีโอกาสเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อมก่อนวัยได้
เช็กลิสต์สาเหตุที่ทำให้เกิด “ภาวะสมองล้า” จากการทำงานหนักจนขาด work life balance คุณมีกี่ข้อ
- พักผ่อนน้อย จนมีอาการอ่อนล้า
- ความเครียดสะสม
- ขาดการดูแลด้านโภชนาการที่ดี
- ขาดการออกกำลังกาย
- ขาดน้ำหรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ
- มีการสะสมของสารพิษโลหะหนัก สารพิษจากยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนมากับอาหาร
- อนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุล
- การอักเสบซ่อนเร้น
- มีอาการทางจิตประสาทหรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ร่วมด้วย
หากคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้นเกิน 3 ข้อ เช่น เกิดภาวะเครียดสะสม จากการทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย คุณมีความเสี่ยงที่จะประสบภาวะสมองล้า หากไม่รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมก่อนวัยอันควรได้ง่าย
"ภาวะสมองล้า" รักษาไม่ยากแค่ปรับพฤติกรรม
การป้องกันและรักษาภาวะสมองล้า ทำได้โดยปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- จัดลำดับงานที่สำคัญจากมากไปน้อย
- หยุดเล่นโทรศัพท์ หรือหยุดเสพข่าว หรือสื่อที่ทำให้เครียดในช่วงที่กำลังเครียดจากงาน
- มองโลกในแง่บวก และหาเวลาทำกิจกรรมโปรด เพื่อปรับอารมณ์และผ่อนคลาย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 6 - 8 ชั่วโมง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารเช้า
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือบุหรี่ ในช่วงที่มีความเครียด เพราะยิ่งทำให้สมองล้า
- ฝึกสมาธิ
หากคุณเปิดใจลองปรับพฤติกรรมวันละนิด คุณก็สามารถมีชีวิตที่ “Work Life Balance” ได้ บางครั้งคุณอาจจะต้องหลีกเลี่ยง “การคิดเรื่องงาน” หรือ “เรื่องที่ทำงาน” หาวิธีผ่อนคลาย หรือหากิจกรรมที่จะสร้างความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับตัวเอง เพื่อป้องกันอาการ burn out และสมองล้า ให้มากที่สุด หากคุณเป็นคนที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ ลองมาใช้
สิทธิพิเศษที่ทาง KRUNGSRI PRIME มอบให้ เพื่อให้ชีวิตคุณได้มีความผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยบริการนวดต่าง ๆ จากร้านสปาชื่อดังที่ร่วมรายการ หรือหากคุณต้องการพักสมองด้วยการชมซีรีส์ ก็สามารถรับสิทธิ์เป็นสมาชิก viu premium เพื่อชมซีรีส์ฟรีแบบไม่มีโฆษณาคั่น และอย่าลืมตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจเช็คร่างกายของคุณ กับแพคเก็จตรวจสุขภาพราคาพิเศษจากโรงพยาบาลชั้นนำได้ นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษอีกมากมายที่ช่วยให้ชีวิตคุณสะดวกสบาย และง่ายขึ้น หากคุณต้องการรับสิทธิพิเศษดี ๆ เหล่านี้ สามารถ
ร่วมเป็นลูกค้า KRUNGSRI PRIME และรอสิทธิพิเศษมากมายบน KMA krungsri app ได้เลย