สร้างมรดก 100 ล้าน ยังไงให้ไม่ไกลเกินเอื้อม

โดย สิรภัทร เกาฏีระ CFP® นักวางแผนการเงิน
25 ธันวาคม 2566
สร้างมรดก 100 ล้านด้วยประกันชีวิต
ปัจจุบันการสร้างมรดก 100 ล้าน ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม คุณเองก็สามารถส่งมอบมรดก 100 ล้านให้แก่คนที่คุณรักได้ เพียงแค่เลือกใช้วิธีที่ถูกต้องและเหมาะสม อย่างรูปแบบการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายท่านเลือกใช้ เพราะความมั่งคั่งไม่ใช่ความร่ำรวย แต่ความมั่งคั่งนำมาซึ่งความร่ำรวย ด้วยการบริหารจัดการเงินให้มีผลตอบแทนที่งอกเงยขึ้น โดยที่ไม่มีหนี้สินคงค้าง ดังนั้นการสร้างมรดก 100 ล้านด้วยการบริหารความมั่งคั่ง จึงเป็นวิธีที่แยบยลและให้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างแท้จริง
 

อีก 1 ทางเลือกในการสร้างมรดก ที่หลายคนมองข้าม

สำหรับการบริหารความมั่งคั่ง ในความหมายของ “ความมั่งคั่ง” นั้น ไม่ได้หมายถึงเงินสดที่คุณมี แต่หมายถึงสินทรัพย์ทั้งหมดของคุณ ที่รวมไปถึงการบริหารจัดการหนี้สินด้วย ดังนั้นการส่งต่อมรดกที่จะเป็นความมั่งคั่งให้แก่คนที่รัก จึงหมายถึงการต่อยอดให้สินทรัพย์ที่มี เกิดเป็นดอกผลงอกเงยขึ้นมา จนเมื่อนำไปหักกับหนี้สินและเหลือเป็นสินทรัพย์สุทธิแล้ว จะต้องมีจำนวนมากพอที่จะส่งต่อเป็นมรดกให้แก่ผู้รับได้

และในค่านิยมเดิม หลายท่านนิยมสร้างมรดกให้อยู่ในรูปแบบของเงินออม ที่ดิน และทองคำ ซึ่งนอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ ยังมีสินทรัพย์อีก 1 รูปแบบที่จัดอยู่ในกลุ่มของการบริหารความมั่งคั่ง นั่นคือ การสร้างมรดกหลักล้านด้วยประกันชีวิต ซึ่งนอกจากจะมอบเป็นมรดกให้แก่คนที่รักได้แล้ว ยังเป็นวิธีที่ใช้เงินลงทุนในอัตราส่วนที่น้อย หากเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ

โดยประเทศไทยมีกฎหมายภาษีมรดก และภาษีการรับมรดก ที่จะเรียกเก็บจากผู้ได้รับมรดก โดยมีหลักเกณฑ์ คือ

ในกรณีที่ผู้รับมรดกเป็นผู้สืบสันดานหรือเป็นบุพการี หากทรัพย์มรดกเกิน 100 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีส่วนที่เกินมา 5%

แต่ถ้าในกรณีที่ผู้รับมรดกไม่ใช่ผู้สืบสันดาน และไม่ใช่บุพการี หากทรัพย์มรดกเกิน 100 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีส่วนที่เกินมา 10%

และคุณทราบหรือไม่ว่า สินไหมที่ได้จากการทำประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือประกันชีวิตแบบใดก็ตาม จำนวนสินไหมที่ได้รับจะไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มทรัพย์มรดก ที่เจ้าของมรดกมีอยู่ก่อนจะเสียชีวิต เงินสินไหมนี้จึงไม่ต้องรวมเข้ากับกองมรดก และ “ไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดก” ด้วย ด้วยเหตุนี้เอง การซื้อประกันชีวิตจึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มของการบริหารความมั่งคั่ง และใช้สร้างมรดกหลักล้านด้วยประกันชีวิตได้

ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. เป็นผู้ทำประกันมรดก โดยมีทุนประกัน 100 ล้านบาท นาย ก. ชำระเบี้ยประกันเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท/ปี และได้ชำระเบี้ยประกันเรื่อยมาทุกปี ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว ถือว่านาย ก. ได้สร้างมรดกให้แก่คนที่รักเป็นวงเงิน 100 ล้านบาท ตั้งแต่ปีแรกที่นาย ก. ได้ชำระเบี้ยประกันด้วยเงินเพียง 2 ล้านบาทแล้ว
 
ทำไมต้องสร้างมรดกด้วยประกันชีวิต
 

ทำไมต้องเลือกประกันชีวิตเพื่อส่งต่อมรดกทิ้งไว้ให้ลูกหลาน

ประกันชีวิตถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการมรดกได้ดี และยังเป็นหนึ่งในการวางแผนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ เป็นการบริหารความมั่งคั่งที่จะช่วยให้บุคคลที่อยู่ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นทายาท บุพการี หรือคู่ชีวิต ได้รับมรดกโดยที่ไม่มีภาระหนี้สินหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ พ่วงมาด้วย เพราะสิ่งที่ทายาทจะได้รับ คือ
 

1. เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ให้แก่ทายาท

การจ่ายเบี้ยประกันเพียงไม่กี่ล้านต่อปี เพื่อให้ได้มรดก 100 ล้านหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ถือเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของมรดกให้แก่ทายาท อีกทั้งการทำประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพ ยังมีอัตราเบี้ยประกันต่ำ แต่ให้ความคุ้มครองในวงเงินที่สูง จึงเหมาะจะใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือวางแผนการเงินเพื่อมอบเป็นมรดกให้แก่คนที่รัก
 

2. เงินสินไหมได้รับการยกเว้นภาษี

เงินสินไหมทดแทนที่จะได้รับหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับผู้ทำประกัน จะได้รับการยกเว้นภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมรดก เนื่องจากเงินสินไหมทดแทนจากการเสียชีวิต ไม่ใช่สินทรัพย์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้ทำประกันมีชีวิตอยู่ แต่เป็นเงินที่เกิดขึ้นหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว ตามกฎหมายจึงไม่สามารถถือว่าเป็นเงินมรดกได้ ทำให้ได้รับการยกเว้นภาษีนั่นเอง
 

3. เจ้าหนี้ไม่สามารถฟ้องร้องเพื่อยึดเงินสินไหมได้

ดังที่ได้กล่าวไปว่า เงินสินไหมทดแทนจากการเสียชีวิต ไม่ใช่สินทรัพย์ของผู้ทำประกันในขณะที่มีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นเงินมรดกในทางกฎหมาย เจ้าหนี้จึงไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาลเพื่อยึดเงินจำนวนนี้จากทายาทได้
 

4. ทายาทได้รับมรดกเร็ว ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้

โดยปกติทายาทผู้ได้รับมรดก จะได้รับเงินสินไหมทดแทนในกรณีผู้ทำประกันเสียชีวิตประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังจากที่บริษัทประกันได้รับเอกสารและหลักฐานครบถ้วน และบริษัทประกันได้ทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้วว่า ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ในเหตุแห่งการเสียชีวิตของผู้ทำประกัน โดยเงินสินไหมจะถูกแบ่งตามสัดส่วนที่ผู้ทำประกันได้ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ เช่น แบ่งให้ผู้รับผลประโยชน์ A 50%, B 30 % และ C 20% ซึ่งรวมแล้วจะครบเต็มจำนวน 100% ตามความคุ้มครองของกรมธรรม์นั้น ๆ
 
ประกันชีวิตแบบไหนดี คุ้มค่าทั้งกับผู้ทำและทายาท
 

เลือกซื้อประกันชีวิตแบบไหนดี ให้คุ้มค่าทั้งกับผู้ทำ และทายาทรับมรดก

มีหลายคนที่เข้าใจว่า ประกันผู้สูงอายุมีความคุ้มค่าต่อการส่งมอบเป็นมรดก แต่ในข้อเท็จจริงแล้วถ้าพูดถึงเรื่องความคุ้มค่าจริง ๆ ต้องขอให้ทุกคนลองพิจารณาประกันชีวิตแบบตลอดชีพก่อน โดยประกันชีวิตนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบ คือ แบบตลอดชีพ แบบสะสมทรัพย์ แบบบำนาญ และแบบชั่วระยะเวลา ซึ่งประกันชีวิตที่เหมาะสำหรับทุกคนก็คือแบบตลอดชีพ โดยเน้นความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตของผู้ทำประกัน สามารถเลือกระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันสั้นหรือยาวได้ เช่น 5 ปี หรือ 15 ปี หรือ 20 ปี เป็นต้น เมื่อหยุดจ่ายเบี้ยประกันแล้ว แต่ยังคงได้รับความคุ้มครองไปจนตลอดชีวิตของผู้ทำประกัน และเพื่อเป็นการสะสมความมั่งคั่งต่อไปเรื่อย ๆ ผู้ทำประกันสามารถซื้อประกันเล่มใหม่เพิ่มเติมได้ตามความต้องการ โดยข้อดีของประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เพิ่มเติมคือ
  • สามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้
  • ประกันประเภทนี้มีระยะเวลาคุ้มครองยาวนานตลอดชีพ ค่าเบี้ยประกันถูกเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ
  • ยิ่งเริ่มต้นอายุน้อย ยิ่งจ่ายเบี้ยถูกกว่า เพราะผู้ทำประกันจะได้รับอัตราค่าเบี้ยประกันแบบคงที่ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันครบกำหนดในกรมธรรม์ ไม่เพิ่มตามอายุของผู้ทำประกัน
  • เป็นประกันที่มีรูปแบบไม่ซับซ้อน ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
 

ขอแนะนำกรุงศรีประกันชีวิตตลอดชีพ มรดกอุ่นใจ 90/7

มาถึงคำถามว่าประกันชีวิตที่ไหนดี ขอแนะนำกรุงศรีประกันตลอดชีพ มรดกอุ่นใจ 90/7 ให้คุณชำระเบี้ยประกันเพียง 7 ปี แต่ได้รับความคุ้มครองยาวนานถึงอายุ 90 ปี พร้อมสิทธิ์นำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุด 100,000 บาทต่อปี อีกทั้งหากมีชีวิตอยู่ครบสัญญา จะได้รับผลประโยชน์เงินคืน 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย สามารถส่งมอบเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานได้ เหมาะสำหรับเป็นกรมธรรม์เล่มแรกสำหรับทุกคน สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือน-65 ปี

การสร้างมรดก 100 ล้านด้วยประกันชีวิต เป็นอีกหนึ่งวิธีบริหารความมั่งคั่งที่มีความคุ้มค่า สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องศึกษารายละเอียดความคุ้มครองในกรมธรรม์ให้เข้าใจถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจ รวมถึงต้องเลือกความคุ้มครองให้เหมาะสมกับตนเอง และหากท่านใดยังมีข้อสงสัย หรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเลือกประกันแบบไหนดี สามารถติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการเงินและการลงทุนจาก KRUNGSRI PRIME ได้ที่ช่องทางฮอตไลน์ 02-296-5959 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูล เพื่อให้ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก KRUNGSRI PRIME ติดต่อกลับก็ได้เช่นกัน

หมายเหตุ ลูกค้าควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไข ก่อนตัดสินใจสมัครทำประกันภัย
สนใจร่วมเป็นลูกค้า ด้วยการเลือก KRUNGSRI PRIME ต่อยอดเงินให้เติบโต​
KRUNGSRI PRIME ช่วยพาคุณไปสู่เป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มความมั่งคั่งทางการเงิน และต่อยอดเงินล้านของคุณให้เติบโตสู่ล้านถัดๆไป นอกจากนี้ KRUNGSRI PRIME ยังมอบความพิเศษด้วยสิทธิ์ต่างๆทั้งด้านการเงินและไลฟ์สไตล์ที่ถูกคัดสรรมาให้แก่ลูกค้าคนพิเศษเช่นคุณ