แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตจะเป็นอย่างไร ในความท้าทายทางเศรษฐกิจรอบด้าน

โดย สิรภัทร เกาฏีระ CFP® นักวางแผนการเงิน
24 มกราคม 2566
แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตจะเป็นอย่างไร ในความท้าทายทางเศรษฐกิจรอบด้าน
ซื้อทองดีไหม? คงเป็นคำถามที่ผู้คนให้ความสนใจ และศึกษาหาข้อมูลเพื่อวางแผนการลงทุนในอนาคต หลังสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ นั้นราคาผันผวนแบบชนิดที่นักลงทุนทั่วทุกสารทิศได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโตเคอร์เรนซี มีสินทรัพย์ไม่กี่ประเภทที่สามารถยืนหยัดอยู่ในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรง ณ ขณะนี้ได้ หนึ่งในสินทรัพย์ที่ว่านี้คือ ทองคำ ที่ราคากลับดีดตัวสวนทางกับสินทรัพย์อื่น ๆ ที่พากันติดลบหลังกังวลกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และปัจจัยทางด้านสงคราม ที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเพราะทองคำเปรียบเสมือนสินทรัพย์สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยอิงมูลค่าจากทุนสำรองระหว่างประเทศ และมูลค่าไม่ผันแปรตามสภาพเศรษฐกิจอีกด้วย
 

ราคาทองคำกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่

วิกฤติเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้มีหลายปัจจัยที่ส่งสัญญาณเตือนต่อนักลงทุนรวมถึงผู้คนที่ต้องวางแผนทางการเงินหลังจากการเกิดโรคระบาดโควิด19 ได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปแล้วมรสุมที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาคือ Perfect Strom มรสุมทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจคาดเดาความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือภาวะเศรษฐกิจถดถอย วิกฤตทางด้านอาหารและพลังงาน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ ที่ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งแนวโน้มราคาทองคำ ตลาดหุ้นที่ผันผวน ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่แทบจะไปไม่รอด
 

สงครามยืดเยื้อระหว่างรัสเซียกับนาโต้

 
สงครามระหว่างรัสเซียกับนาโต้

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติมหาอำนาจอย่างรัสเซียที่มีข้อพิพาทกับยูเครนโดยมีองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (Nato) อยู่เบื้องหลัง จะส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสงครามนี้เพราะนาโต้ปัจจุบันมีประเทศกว่า 26 ประเทศเป็นสมาชิก ซึ่งใน 26 ประเทศนี้มีสหรัฐอเมริกา และประเทศยักษ์ใหญ่จากทวีปยุโรปรวมอยู่ด้วย อาทิ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เป็นต้น การสู้รบเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบันโดยไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ทางรัสเซียบุกเข้าโจมตียูเครนที่แสดงท่าทีว่าจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับนาโต้ ทางนาโต้ก็ตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจใส่รัสเซียงดทำการซื้อขาย แต่ปัญหาคือรัสเซียเป็นชาติที่ส่งออกพลังงานหลัก (ก๊าซธรรมชาติ, ถ่านหิน) ให้กับประเทศทางยุโรป รวมทั้งวิกฤตทางด้านอาหารรัสเซียและยูเครนมีอัตราการส่งออกข้าวสาลีสูงถึง 1 ใน 4 ของการส่งออกทั้งโลก และรัสเซียยังเป็นผู้ผลิตปุ๋ยสูงถึง 50 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 13 เปอร์เซ็นต์ของทั่วทั้งโลก หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อต่อไปจะส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่ต่อเศรษฐกิจโลก
 

นโยบาย Zero Covid

 
ปัญหาโควิด19 ในประเทศจีน

ปัญหาโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ก็ยังไม่จบสิ้น ทำให้อีก 1 มหาอำนาจอย่างประเทศจีนก็ดำเนินการขั้นแด็ดขาดในการสู้กับยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่ต้องกลายเป็น 0 ด้วยการประกาศปิดเมืองสำคัญทางการค้าต่าง ๆ งดทำการนำเข้าส่งออกสินค้าทุกประเภทตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจโลกนั้นแย่ลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประเทศไทยของเราที่เป็นคู่ค้าหลักกับจีนก็ส่งผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยในปัจจุบันเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการด้วยการคลายล็อกเมืองสำคัญต่าง ๆ ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศจีนกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง การประกาศเปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวในอนาคตจึงยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากสถานการณ์นั้นแย่กว่าที่ทางการจีนประเมินสถานการณ์ไว้ทำให้เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
 

การเกิด Stagflation

Stagflation หรือภาวะเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจชะลอตัวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน คือความผิดปกติทางเศรษฐกิจ คืออัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แต่สภาวะเศรษฐกิจนั้นกลับโตไม่ทัน เกิดอัตราการว่างงานในประเทศ กำลังซื้อของผู้คนถดถอยด้วยจำนวนเงินที่เท่าเดิมแต่สินค้ากับแพงขึ้น ภาครัฐต้องเข้ามาบริหารจัดการอัดฉีดให้เกิดสภาพคล่องให้เศรษฐกิจฟื้นตัว อย่างเช่นในสหรัฐอเมริการ ทางธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ให้ความสำคัญกับภาวะเงินเฟ้อเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้มากไปกว่านี้ หรืออีกนัยหนึ่งคือการควบคุมเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงสอดคล้องกับความเป็นจริง

การกระทำเช่นนี้อาจก่อให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยพร้อมกับเงินเฟ้อที่ยังคุมไม่ได้หรือเรียกว่าภาวะ Stagflation ที่กล่าวไปในข้างต้น วิกฤตเศรษฐกิจนี้ได้ส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ผู้คนต่างหาทางช่องทางการลงทุนเพื่อให้สินทรัพย์ในมือของตัวเองนั้นไม่ถูกด้อยค่าลงไป
 

ลงทุนทองคำ ชนะเงินเฟ้อไหม

การลงทุนทุกประเภทล้วนแต่มีความเสี่ยง แต่ถึงอย่างไรการลงทุนทุกประเภทก็มีโอกาสที่จะสามารถสร้างกำไรให้กับคุณได้ไม่มีการลงทุนใดที่ขาดทุน 100 เปอร์เซ็นต์ หรือได้กำไร 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเราดูสถิติการลงทุนในระยะยาวเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ คือ “ทองคำ” ในช่วงต้นปีท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน สินทรัพย์แทบทุกประเภทพากันจับมือติดลบ ยกเว้นราคาทองคำที่พุ่งสูงกว่าบาทละ 30,000 บาท เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ราคาปรับเปลี่ยนตามกลไกลตลาดโลก แทบทุกประเทศต่างมีทองคำไว้ในครอบครองเพื่อเป็นกองทุนสำรองของประเทศ ยิ่งในภาวะสงครามภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ภาวะเงินเฟ้อ เราจึงเห็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่างทองคำปรับตัวสูงขึ้น

แต่การลงทุนทองคำนั้นเหมาะกับการลงทุนเพื่อสู้กับเงินเฟ้อในระยะยาว ทองคำจัดเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น หรือหากต้องการลงทุนในระยะสั้นต้องมีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์อย่างมาก หากย้อนดูแนวโน้มราคาทองคำในอดีตแล้วผู้ที่เป็นเทรดเดอร์ต้องการลงทุนในระยะสั้นสินทรัพย์อื่นน่าจะตอบโจทย์ในตรงนี้มากกว่า
 

แนวโน้มราคาทองคำในอนาคต

แนวโน้มราคาทองคำ

แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น โดยภายในปี 2565 ราคาทองคำยังอยู่ในกรอบไซด์เวย์ นักลงทุนยังสามารถเข้าสะสมได้ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ถูกเรียกว่าเป็นเงินมั่งคั่ง (Sound Money) ปริมาณมีอย่างจำกัด และทองคำถูกใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อใช้ค้ำประกันในการพิมพ์เงินตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (ยกเว้นสหรัฐอเมริกา ที่ยกเลิกมาตรฐานทองคำไปเมื่อปี ค.ศ. 1971) นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าทองคำนั้นจะยังคงมูลค่าในตัวและราคาทองคำมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ และปลอดภัยแม้ในภาวะวิกฤตสงครามในปัจจุบัน

แนวโน้มราคาทองคำในอดีตจนถึงปัจจุบันหากย้อนไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาราคาอาจจะไม่ได้ขึ้นทุกปี แต่หากคุณซื้อทองคำไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ณ ตอนนี้มูลค่าจะมากขึ้นอย่างแน่นอน แนวโน้มราคาทองคำในปี 2555 สูงสุดอยู่ที่บาทละ 25,000 บาท แต่ราคาทองคำในปี 2565 เมื่อต้นปีพุ่งแตะบาทละ 30,000 บาท เท่ากับว่าหากคุณซื้อทองคำในปี 2555 ไว้ 1 บาท แล้วขายไปในต้นปีนี้คุณจะได้กำไรถึง 5,000 บาท ถ้าเทียบเทียบมูลค่ากับการถือเงินสดไว้เฉย ๆ หรือการฝากธนาคารแลกกับดอกเบี้ย 0.25 เปอร์เซ็นต์ นั้นคงเห็นความต่างกันอย่างชัดเจน
 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้นลงทุนทองคำ

ลงทุนทองคำ

เมื่อเห็นแนวโน้มราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นแทบทุกปี เราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าในการลงทุนทองคำนั้นมีอยู่ 2 ประเภท 1. ทองคำแท่ง 2. ทองรูปพรรณ หรือทองที่ผ่านการแปรรูปเป็นเครื่องประดับแล้ว เช่นสร้อย แหวน กำไลต่าง ๆ โดยทองคำแท่ง 1 บาท กับทองรูปพรรณ 1 บาทนั้นมีปริมาณทองคำไม่เท่ากัน
  • ทองคำแท่ง 1 บาท มีน้ำหนัก 15.244 กรัม
  • ทองรูปพรรณ 1 บาท มีน้ำหนัก 15.16 กรัม

ข้อดีของทองรูปพรรณคือ สามารถนำมาเป็นเครื่องประดับได้และสามารถเลือกซื้อน้ำหนักตามที่ต้องการได้ แต่มีข้อเสียคือ “ค่ากำเหน็จ” หรือค่าแรงในการทำทองซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของลวดลายทอง แต่ละร้านจะมีค่ากำเหน็จที่ไม่เท่ากัน ถือว่าเป็นต้นทุนที่ต้องคิดรวมเข้าไปด้วยสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนทองคำ และอีก 1 ปัจจัยสำคัญที่ควรรู้สำหรับนักลงทุนคือ “ค่าเสื่อมสภาพ” ของทองคำ หากเก็บรักษาไม่ดีการนำไปขายอาจจะทำกำไรได้ไม่ดีนัก นอกจากดูแนวโน้มราคาทองคำในอนาคตเราควรศึกษาเรื่องการดูแลรักษาทองไว้ด้วย

ทองคำแท่งมักเป็นที่นิยมมากกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนทองคำและทำกำไรในระยะยาวเพราะไม่ปัจจัยในเรื่องของค่ากำเหน็จและค่าเสื่อมสภาพที่มีน้อยกว่าทองรูปพรรณ
 

ลงทุนทองคำ Gold Future

Gold Future หรือการทำสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ผู้ที่อยากลงทุนในทองคำแต่ไม่มีเงินก้อนในการลงทุนนั้นให้ความสนใจโดยลงทุนผ่านนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ เป็นกองทุนรวมทองคำแบบทั่วไป นักลงทุนไม่ต้องจ่ายเงินลงทุนเต็มจำนวนเหมือนในตลาดหุ้นแต่มีโอกาสสามารถทำกำไรได้มาก และมีกลไกลในการควบคุมความเสี่ยงให้กับนักลงทุนโดยอิงจากระดับเงินประกันขั้นต่ำ กรณีที่ขาดทุนทางโบรกเกอร์จะมีการแจ้งเตือนว่าต้องการจะถือต่อหรือทำการ cut loss จึงเหมาะกับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในด้านการลงทุน

สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินก้อนที่จะลงทุนทองคำในปริมาณมาก ๆ หรือความเสี่ยงในการเก็บทองคำไว้กับตัว ก็จะมีกองทุนรวมทองคำ ที่จะนำเงินไปลงทุนในทองคำแทนเรา และสามารถทำการซื้อขายได้สะดวกปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญหาย

จะเห็นได้ว่าแค่การลงทุนในทองคำเพียงสินทรัพย์เดียวก็มีทางเลือกมากมาย ก่อนจะนำเงินเย็นของคุณเข้ามาลุยในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ หรือตลาดทองคำควรจะศึกษาข้อมูลให้ละเอียดรอบด้านเสียก่อน หากคุณศึกษามาเป็นอย่างดีแล้วคำถามที่ว่า ซื้อทองดีไหม? คุณจะสามารถตอบคำถามนี้ได้ด้วยตัวคุณเอง

หากคุณต้องการปรึกษาหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมในด้านวางแผนทางการเงิน ทางธนาคารกรุงศรีมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนโดยเฉพาะ ที่สามารถปรึกษาผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่ 02-296-5959 จันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้ที่ปรึกษาทางด้านการเงินจาก KRUNGSRI PRIME ติดต่อกลับ

คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • กองทุน KF-HGOLD ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ) ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน
  • กองทุน KF-HGOLD ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยบริษัทจัดการจะคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนด้วยราคาปิดของ SPDR Gold Trust ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งราคาปิด ณ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ อาจจะมีราคาที่แตกต่างจากราคาปิดของทองคำ (Gold Commodities) หรือราคาปิดของ SPDR Gold Trust ที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจจะได้ราคาหน่วยลงทุนที่แตกต่างจากราคาทองคำ หรือราคาของ SPDR Gold Trust ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ได้
สนใจร่วมเป็นลูกค้า ด้วยการเลือก KRUNGSRI PRIME ต่อยอดเงินให้เติบโต​
KRUNGSRI PRIME ช่วยพาคุณไปสู่เป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มความมั่งคั่งทางการเงิน และต่อยอดเงินล้านของคุณให้เติบโตสู่ล้านถัดๆไป นอกจากนี้ KRUNGSRI PRIME ยังมอบความพิเศษด้วยสิทธิ์ต่างๆทั้งด้านการเงินและไลฟ์สไตล์ที่ถูกคัดสรรมาให้แก่ลูกค้าคนพิเศษเช่นคุณ