อาเซียนมีบทบาทสำคัญในเวทีภูมิรัฐศาสตร์โลกทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ตลอดจนเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม การแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในด้านเศรษฐกิจ การค้า และเทคโนโลยีซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออาเซียน โดยเฉพาะในยุค Trump 2.0 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ผลักดันนโยบายภาษีนำเข้าครั้งใหม่ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 ซึ่งกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นกับเกือบทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศในอาเซียน ด้วยความหวังว่าจะสามารถจัดระเบียบการค้าโลกและลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีนได้ นโยบายนี้จึงเพิ่มความซับซ้อนให้กับพลวัตทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยบทบาทของอาเซียนในฐานะจุดเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจระหว่างประเทศมหาอำนาจ ภูมิภาคนี้จึงต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น การศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์เศรษฐกิจของอาเซียนผ่านมุมมองของพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาเซียนอาจเผชิญในอนาคต ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และการตอบโต้จากจีนที่อาจเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจในภูมิภาค
ในช่วงที่ผ่านมา อาเซียนกลายเป็นศูนย์กลางของการเผชิญหน้าทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีเป้าหมายในการขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทหารและความมั่นคง นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นสำคัญอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่นและรัสเซีย ที่มีบทบาทเฉพาะด้านในการสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียน การทำความเข้าใจบทบาทของแต่ละฝ่ายจึงเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์และการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทาย
จีนมีบทบาทในอาเซียนทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเฉพาะโครงการ BRI และข้อพิพาทในทะเลจีนใต้
จีนได้ขยายอิทธิพลในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ผ่านนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ความมั่นคง โดยหนึ่งในนโยบายสำคัญคือ โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road หรือ Belt and Road Initiative (BRI)) ซึ่งเป็นแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่ครอบคลุมทั้งการคมนาคม การสื่อสาร พลังงาน และเขตเศรษฐกิจพิเศษหลายแห่ง โดยมีการลงทุนจำนวนมหาศาลในประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะกัมพูชาและ สปป. ลาว1/
นอกจากนี้ จีนยังสร้างอิทธิพลด้านความมั่นคงผ่านประเด็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ (South China Sea) โดยอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ภายใต้แนวเส้นประเก้าเส้น (Nine-Dash Line, ภาพที่ 1) ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดกับหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิลิปปินส์และเวียดนาม2/ โดยในระยะหลังมีการเผชิญหน้ากันระหว่างเรือของจีนและเรือของฟิลิปปินส์หลายครั้ง ทำให้ฟิลิปปินส์ต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการทหารกับสหรัฐฯ เพื่อถ่วงดุลอำนาจ ทั้งนี้ ข้อพิพาททะเลจีนใต้เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าได้ เนื่องจากทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญสำหรับการค้าระหว่างประเทศของหลายประเทศในอาเซียน และการที่สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้ ทำให้สถานการณ์มีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
สหรัฐฯ มีอิทธิพลกับอาเซียนผ่านการสร้างความมั่นคงทางการทหาร ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการลงทุน
สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคนี้มาช้านาน และปัจจุบันได้ใช้การถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกผ่านกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity: IPEF) ที่มุ่งเสริมสร้างความมั่นคง การค้า และการทูต โดยกองกำลังทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในภูมิภาคสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการป้องกันการแผ่ขยายอำนาจของจีนในทะเลจีนใต้ โดยตัวอย่างความร่วมมือ ได้แก่ การที่สหรัฐฯมีฐานทัพสำคัญในสิงคโปร์และฟิลิปปินส์3/ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังรับมือกับการขยายอิทธิพลของจีนในระดับภูมิภาคผ่านการสร้างพันธมิตรทางความมั่นคง เช่น Quad และ AUKUS4/
ในด้านเศรษฐกิจ สหรัฐฯ มีความสำคัญในฐานะตลาดขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งรองรับสินค้าส่งออกจากอาเซียน (ภาพที่ 2) ขณะเดียวกันยังมีบทบาทในการส่งเสริมการค้าผ่านกรอบความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนกับประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น สิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนของสหรัฐฯ ในภูมิภาค และเวียดนามที่ได้ยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯในปี 2567 เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างครอบคลุม (Comprehensive Strategic Partnership) เพื่อเพิ่มการลงทุนในเวียดนามและสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทาน
นอกจากสหรัฐฯ และจีนแล้ว อาเซียนยังต้องเผชิญกับอิทธิพลจากประเทศอื่นๆ ที่ส่งผลต่อดุลอำนาจในภูมิภาค อาทิ ญี่ปุ่น ที่สนับสนุนเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (Official Development Assistance: ODA) และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูงในอินโดนีเซียและเวียดนาม พร้อมส่งเสริมความมั่นคงผ่าน Quad และความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เพื่อถ่วงดุลจีน ส่วนรัสเซียเน้นความร่วมมือด้านกลาโหมและพลังงาน เช่น การจัดหาอาวุธให้เมียนมาและสำรวจข้อตกลงพลังงาน แม้อิทธิพลจะยังจำกัดเมื่อเทียบกับสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน
นอกจากนี้ ไต้หวันเป็นอีกผู้เล่นสำคัญในอาเซียน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ด้วยการเป็นแหล่งเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเวียดนาม ซึ่งเน้นในด้านการผลิตและเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันอาจกระทบห่วงโซ่อุปทานในอาเซียน โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์5/ อีกทั้งท่าทีของอาเซียนต่อนโยบายจีนเดียว (One China Policy) จะกำหนดความสัมพันธ์กับไต้หวันและความร่วมมือในอนาคต
เราสามารถสรุปอิทธิพลของสหรัฐฯ และจีนที่มีต่อประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ (พิจารณาจากสัดส่วนการลงทุนโดยตรงหรือ FDI) และมิติทางการทหารและความมั่นคง ได้ดังนี้ (ตารางที่ 1)
เราสามารถจัดกลุ่มประเทศต่างๆ ในอาเซียนตามอิทธิพลของสหรัฐฯ และจีน ได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
1. กลุ่มที่เอนเอียงไปทางจีน (China-Leaning Countries)
กัมพูชา: มีความใกล้ชิดกับจีนอย่างมาก โดยจีนเป็นแหล่งเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ การที่จีนได้รับอนุญาตให้เข้าใช้ฐานทัพเรือ Ream Naval Base ซึ่งนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร สะท้อนถึงอิทธิพลด้านความมั่นคงของจีนในกัมพูชา
สปป.ลาว: เป็นอีกหนึ่งประเทศที่พึ่งพาการลงทุนจากจีน กอปรกับมีการกู้ยืมจากจีนจำนวนมาก โดยโครงการ BRI เช่น รถไฟจีน-ลาว ได้เชื่อมโยงลาวเข้ากับโครงข่ายเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเพิ่มอิทธิพลด้านความมั่นคงของจีนในลาวตามไปด้วย
เมียนมา: มีความสัมพันธ์กับจีนที่แน่นแฟ้นกว่าสหรัฐฯ มาก ผ่าน FDI และโครงการ BRI เช่น ท่าเรือเจ๊าะผิ่ว (Kyaukphyu Port) รวมถึงการสนับสนุนด้านอาวุธให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา ในขณะที่สหรัฐฯ แทบจะไม่มีบทบาทกับเมียนมาเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตร
2. กลุ่มที่เอนเอียงไปทางสหรัฐฯ (US-Leaning Countries)
ฟิลิปปินส์: มีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงที่แน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง (สัดส่วน FDI จากสหรัฐฯ สูงกว่าจีนอย่างมีนัยสำคัญ) และปัจจุบันมีความสัมพันธ์ผ่านข้อตกลงทางการทหารเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้
3. กลุ่มที่พยายามรักษาความเป็นกลางหรือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-alignment Countries)
สิงคโปร์: พยายามรักษาความสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ และมีสัดส่วนการลงทุนจากสหรัฐฯ มากกว่า แต่สิงคโปร์ก็มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมกับจีนอย่างแน่นแฟ้น สะท้อนจากการที่จีนยังเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของสิงคโปร์ และมีโครงสร้างประชากรและวัฒนธรรมคล้ายกัน
อินโดนีเซีย: พยายามรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และจีน แม้จะมีสัดส่วน FDI จากจีนสูงกว่าสหรัฐฯ และยังมีส่วนร่วมในโครงการ BRI เช่น รถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง แต่ก็ร่วมฝึกซ้อมทางทหารกับสหรัฐฯด้วย
เวียดนาม: ใช้นโยบายการทูตแบบ “ไผ่ลู่ลม” (Bamboo Diplomacy)6/ แม้ตอนนี้เวียดนามพึ่งพาจีนในด้านห่วงโซ่อุปทานและการลงทุน แต่ก็ยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจแบบครอบคลุมเพื่อลดการพึ่งพาจีน
ไทย: พยายามรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยแม้ปัจจุบันมีการลงทุนจากจีนมากกว่า รวมถึงมีการจัดซื้ออาวุธจากจีน แต่ก็มีความสัมพันธ์ทางการทหารกับสหรัฐฯ ผ่านการฝึกซ้อม Cobra Gold7/
มาเลเซีย: พยายามรักษาความเป็นกลาง แม้มีสัดส่วนการลงทุนจากสหรัฐฯ ที่เยอะกว่า และได้รับการส่งเสริมความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ แต่ก็มีความสัมพันธ์กับจีนจากการเข้าร่วม BRI ผ่านโครงการ East Coast Rail Link
ความสัมพันธ์ทางอำนาจจากมุมมองภูมิรัฐศาสตร์ของผู้เล่นต่างๆ ซึ่งมีผลต่อประเทศในภูมิภาค สามารถสรุปได้ใน ภาพที่ 3
การประเมินท่าทีของประเทศต่างๆ ข้างต้นส่วนใหญ่สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ของหน่วยงานวิจัยในต่างประเทศอย่าง Capital Economics (ภาพที่ 4)8/ ยกเว้นท่าทีของเวียดนาม ที่ Capital Economics มองว่าเอนเอียงไปทางสหรัฐฯ สาเหตุอาจมาจากการ
ให้น้ำหนักด้านการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์และการทูตระหว่างเวียดนามกับสหรัฐฯ ที่มีพัฒนาการอย่างมากในรอบทศวรรษที่ผ่านมา อาทิ การยกระดับสู่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership)
ในช่วงเวลานี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่โดดเด่น ได้แก่ การแข่งขันทางการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของภูมิภาค
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก และได้ทวีความรุนแรงขึ้นในสมัยที่สองของนายทรัมป์ (Trump 2.0) สะท้อนถึงความพยายามในการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ผ่านนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจและการกีดกันทางการค้า ด้วยเป้าหมายที่จะลดอิทธิพลของจีนในระบบเศรษฐกิจโลก และป้องกันการเป็นทางผ่านของสินค้าจีน (Rerouting) โดยล่าสุด การขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นการยกระดับความขัดแย้งครั้งสำคัญ โดยครอบคลุมทั้งจีนและประเทศอื่นๆ รวมถึงในอาเซียน ซึ่งสร้างความซับซ้อนทั้งในมิติการค้า เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์9/
ท่าทีของประเทศต่างๆ ต่อมาตรการภาษีศุลกากรล่าสุดสะท้อนถึงการปรับตัวในบริบทใหม่ที่แตกต่างจากสมัยแรกของทรัมป์ (2561-2563) ซึ่งเน้นการกดดันจีนเป็นหลัก โดยมาตรการปัจจุบันส่งผลกระทบวงกว้างไปยังพันธมิตรและคู่ค้าอื่นๆ ด้วย ซึ่งนำมาสู่ข้อสังเกตในมุมมองเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ดังนี้
ประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่พยายามรักษาความเป็นกลางระหว่างสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตาม การขึ้นภาษีนำเข้าล่าสุดของสหรัฐฯ อาจบีบให้บางประเทศต้องเลือกข้างอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชาที่เร่งเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อเสนอข้อตกลงลดภาษีศุลกากรและเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายรายการ ซึ่งขัดแย้งกับท่าที เดิมที่คาดว่าอาเซียนจะพยายามรักษาจุดยืนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
จีนอาจใช้โอกาสนี้ในการขยายอิทธิพลในอาเซียน ผ่านการเสนอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการลงทุน ขณะที่สหรัฐฯ อาจสูญเสียความน่าเชื่อถือในภูมิภาค หากนโยบายกีดกันทางการค้าของตนกระทบต่อพันธมิตรทางเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกัน การจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก (Rare earth) ของจีน10/ อาจทำให้ความขัดแย้งขยายจากการค้าระหว่างประเทศไปสู่สงครามเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ ซึ่งอาเซียนอาจถูกบีบให้ต้องเลือกข้างอย่างชัดเจนมากขึ้น
ในระยะสั้น การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการค้าและการเงินทั่วโลก โดยประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างไทย เวียดนาม และกัมพูชาจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด นอกจากนี้ การที่จีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ลดลง อาจส่งผลให้เกิด
การไหลบ่าของสินค้าราคาถูกมายังอาเซียนมากขึ้น (Dumping) ซึ่งจะนำไปสู่ความเสียหายต่อผู้ผลิตภายในประเทศได้ ขณะเดียวกัน ประเทศในอาเซียนที่เคยได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีน อาจเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้เข้มงวดกับสินค้าที่มี
ต้นกำเนิดจากจีนมากขึ้น โดยสหรัฐฯ อาจใช้มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) หากสงสัยว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนเส้นทางการส่งสินค้าจากจีน (Rerouting) เท่านั้น
ในระยะยาว หากความขัดแย้งทางการค้าทวีความรุนแรงและการเจรจาล้มเหลว อาเซียนอาจสูญเสียความน่าสนใจในฐานะ
ฐานการผลิตสินค้าสำคัญของโลก นอกจากนี้ การเลือกเข้าข้างสหรัฐฯ อย่างชัดเจนขึ้นของบางประเทศในภูมิภาค อาจนำไปสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจจากจีนโดยเฉพาะการลดหรือถอนการลงทุน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมให้เศรษฐกิจของอาเซียนเปราะบางยิ่งมากขึ้น
การถูกบังคับให้เลือกข้างอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความมั่นคงในภูมิภาค เนื่องจากในยุค Trump 2.0 สหรัฐฯอาจมุ่งขยายอิทธิพลทางการทหารและความมั่นคงในอาเซียน ผ่านข้อแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯ ต้องการ อาทิ การตั้งฐานทัพหรือเพิ่มการลาดตระเวนในทะเลจีนใต้ เพื่อแลกกับการลดภาษีนำเข้าหรือข้อตกลงการค้าที่เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตาม หากข้อแลกเปลี่ยนเหล่านี้เกิดขึ้นจริง จะทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคทวีความรุนแรงขึ้น และบั่นทอนการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งหลายประเทศในอาเซียนพยายามรักษามาอย่างยาวนาน
จากการวิเคราะห์เกี่ยวกับพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน พบว่าอาเซียนไม่เพียงเป็นพื้นที่เชื่อมโยงทางเศรษฐกิจสำคัญระดับโลก แต่ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างต้องการขยายอิทธิพลในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และเทคโนโลยี โดยในภาพรวม ประเทศในอาเซียนมีท่าทีและระดับความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับทั้งสองมหาอำนาจ บางประเทศเลือกข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน ขณะที่บางประเทศพยายามรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เพื่อให้เกิดความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง
นโยบายการค้าใหม่ของสหรัฐฯ ในยุค Trump 2.0 โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้า นำมาซึ่งความท้าทายครั้งใหญ่ และเน้นย้ำถึง "ระเบียบโลกใหม่" ที่สหรัฐฯ ต้องการผลักดัน ซึ่งไม่เพียงแต่ระเบียบการค้าเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงการแบ่งขั้วอำนาจโลกครั้งใหม่ที่อาเซียนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และอาจบั่นทอนแนวคิด “ภูมิภาคนิยม” (Regionalization) และความเป็นเอกภาพของอาเซียน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนยังมีความสำคัญในห่วงโซ่เศรษฐกิจโลกการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มีความยืดหยุ่นจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศสมาชิกอาเซียน
ในการรับมือกับความท้าทายนี้ อาเซียนจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การถ่วงดุล (Hedging) โดยการกระจายความสัมพันธ์และสร้างพันธมิตรกับผู้เล่นอื่นนอกเหนือจากสหรัฐฯ และจีน เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย โดยข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรปเป็นตัวอย่างของโอกาสที่อาเซียนสามารถใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับการค้า การลงทุน การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน การส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค (Regional Integration) ก็เป็นกลไกสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของอาเซียน เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นกรอบการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ ASEAN Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีในระยะยาว นอกจากนี้ อาเซียนควรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างเอกภาพภายในกลุ่มเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของอาเซียนในเวทีโลก ผ่านความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม อาทิ การประสานจุดแข็งของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ภายในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนได้11/
โดยสรุป การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่หลากหลาย การส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาค และการผลักดันความเป็นเอกภาพของอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม จะช่วยให้อาเซียนสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนสร้างความพร้อมเพื่อพลิกความท้าทายและความเสี่ยงให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต
.Books:
Zeihan, P. (2022). The end of the world is just the beginning: Mapping the collapse of globalization. Harper Business.
ปิติ แสงศรีนาม, & จักรี ไชยพินิจ. (2566). สมรภูมิพลิกอำนาจโลก: Amidst the geo-political conflicts. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
Articles and Reports:
Cosar, K., & Thomas, B. (2021). The geopolitics of international trade in Southeast Asia. National Bureau of Economic Research (NBER). Retrieved from https://www.nber.org/papers/w28048
Center for Strategic and International Studies (CSIS). (2023). Assessing U.S. and Chinese influence in Southeast Asia. Retrieved from https://www.csis.org/analysis/assessing-us-and-chinese-influence-southeast-asia
Capital Economics. (2025, January 7). Trump and the implications for global fracturing. Global Economic Focus.
ISC Special Talk. (2024, August). Global geopolitical developments: Implications for ASEAN. Seminar Report. Retrieved from https://www.csis.org/analysis/assessing-us-and-chinese-influence-southeast-asia
ISEAS – Yusof Ishak Institute. (2024, October). The curious case of sluggish US economic influence perceptions in ASEAN (Issue: 2024 No. 81). Retrieved from https://www.iseas.edu.sg/articles-commentaries/iseas-perspective/2024-81-the-curious-case-of-sluggish-us-economic-influence-perceptions-in-asean-by-kristina-fong/
Seah, S., et al. (2024). The state of Southeast Asia: 2024 survey report. Singapore: ISEAS – Yusof Ishak Institute. Retrieved from https://www.iseas.edu.sg/centres/asean-studies-centre/state-of-southeast-asia-survey/the-state-of-southeast-asia-2024-survey-report/