สังเกตกันไหม ตอนนี้เทรนด์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง หากเราไปเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้าก็จะเห็นมีแบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด และหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยมและครองใจคนสมัยใหม่อยู่ก็คือเครื่องดื่มประเภทสมูทตี้ที่มีส่วนประกอบจากผักและผลไม้เนื่องจากกระแสและเทรนด์ดูแลสุขภาพกำลังมาแรง ซึ่งตอนนี้ก็มีแบรนด์หนึ่งที่สามารถตั้งราคาขายที่สูงมากแต่คนก็ยังนิยมเข้าคิวซื้อ นั่นคือ แบรนด์
“Oh! Juice” แบรนด์น้ำสมูทตี้ที่มีกลยุทธ์การตลาดที่น่าสนใจ แม้จะไม่ได้ใช้
“Storytelling” มากนักแต่ก็ยังเติบโตได้ ซึ่งกลยุทธ์สำคัญในการสร้างแบรนด์เหมือนกับ
ธุรกิจร้านอาหารอื่น ๆ ซึ่งแบรนด์ Oh! Juice นั้นใช้กลยุทธ์อะไรถึงประสบความสำเร็จ วันนี้ Krungsri The COACH จะขอพาทุกคนไปเจาะกลยุทธ์ของ Oh! Juice พร้อมพาไปดูเทคนิค
“Food Storytelling” สำหรับธุรกิจอาหารที่ต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์กัน
ทำความรู้จัก แบรนด์ Oh! Juice คือใครและเกิดขึ้นมาจากอะไร?
โดยก่อนที่จะไปดูกลยุทธ์การตลาดที่ Oh! Juice ใช้กันนั้น เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับแบรนด์ Oh! Juice ให้มากขึ้นกันก่อน Oh! Juice เป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้เครือร้านสลัดพันล้านที่ชื่อว่า “โอ้กะจู๋” ที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี หลังจากความสำเร็จของร้านอาหารโอ้กะจู๋ ที่เรียกได้ว่ามีแฟนคลับที่เหนียวแน่นและต่อคิวกันอย่างล้นหลาม ก็ได้มีการเปิดแบรนด์เพิ่มเติม ได้แก่ ร้านอาหารจานด่วน Ohkajhu Wrap and Roll และ Oh! Juice ร้านขายน้ำสมูทตี้ เรียกได้ว่าต่อยอดกิจการเพื่อนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว
ร้านน้ำปั่นสมูทตี้ Oh! Juice กลายเป็นตำนานจากกระแส Viral ตั้งแต่วันแรกเนื่องจากแฟนคลับมารอเข้าคิวซื้อกันจนห้างแตก และกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มีการรอคิวกันถึง 4 ชั่วโมง จนทำให้ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียกันอย่างกว้างขวาง ทำให้หลายคนอยากจะไปลองซื้อน้ำปั่นทานกันบ้างว่ามันจะอร่อยขนาดไหน
หากเราดูเมนูน้ำปั่นของ Oh! Juice นั้นจะเห็นได้เลยว่าชวนชิมมาก ๆ ด้วยสีสันที่สดใส มีให้เลือกหลายราคา และที่หลาย ๆ คนอาจจะตกใจไม่น้อยคือราคาสูงสุดนั้นสูงถึง 270 บาทต่อแก้ว ซึ่งเมนูซิกเนเจอร์ที่แพงที่สุดนี้เรียกว่า Ocean N Earth ที่เป็นเมนูฟ้าเขียว มีส่วนผสมของนมอัลมอนด์ เนยอัลมอนด์ อะโวคาโด ครีมมะพร้าว โยเกิร์ตมะพร้าว กล้วย คอลลาเจน และ Blue Majik ที่เป็นสารสกัดจากสาหร่ายสไปรูลินา
น้ำปั่นชื่อดังยี่ห้อนี้เปิดสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ซึ่งไม่ได้เป็นห้างที่อยู่ใจกลางเมืองที่มีความหรูหราแต่ก็ยังมีกระแสตอบรับจากลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก และได้มีการขยายสาขาไปยังเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ซึ่งเป็นห้างที่อยู่ไม่ไกลกันมากและมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน
จุดเแข็งของแบรนด์ Oh! Juice จากการเป็นหนึ่งในเครือของโอ้กะจู๋ มีดังนี้
1. ใช้ผักและผลไม้ออร์แกนิก
สามารถชูจุดขายได้ว่าเป็นเครื่องดื่มสมูทตี้ที่ไม่ใส่น้ำตาล ทำให้กลายเป็นสินค้าที่คนดูแลรักษาสุขภาพให้ความสนใจ
2. แบรนด์โอ้กะจู๋นั้นมีบมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ร่วมถือหุ้น 20%
ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่นี้สามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนให้แบรนด์ร้านอาหารต่าง ๆ ในการต่อยอดกิจการให้เติบโตขึ้นได้
กลยุทธ์การตลาดของ Oh! Juice เขย่าวงการอาหารสุขภาพอย่างไร
การใช้ Ingredients ที่มีคุณภาพสูง
จะเห็นได้ว่าน้ำปั่นสมูทตี้ของทาง Oh! Juice นั้นมีความน่าสนใจและมีความแปลกใหม่ เนื่องจากใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง เช่น การใช้สาหร่ายสไปรูลินาเป็นตัวชูโรง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าน้ำปั่นสมูทตี้นั้นเป็นสินค้าพรีเมียม และยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อแม้มีราคาแพง
มีโมเดลความสำเร็จมาจากน้ำปั่น Erewhon
Oh! Juice เป็นแบรนด์ที่มีโมเดลความสำเร็จคล้ายกับน้ำปั่น Erewhon ที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังในสหรัฐอเมริกา แม้จะขายในราคาแก้วละ 800 บาท แต่กลับกลายเป็นแบรนด์น้ำปั่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเลยทีเดียว
เทคนิค Food Storytelling เล่าเรื่องอาหารยังไงให้ขายดี
ต้องยอมรับว่า Oh! Juice นั้นเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ทางแบรนด์จะไม่เน้น Storytelling เพื่อยกระดับแบรนด์สินค้าให้มีตำนานความน่าเชื่อถือเหมือนสินค้าแบรนด์เนมอื่น ๆ แต่กลับเลือกที่จะใช้วัตถุดิบที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีเป็นตัวเล่าเรื่องแทน ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดแบบ Food Storytelling ที่สร้างยอดขายได้ดีให้กับแบรนด์ Oh! Juice เป็นอย่างมาก ดังนั้น หากเราเป็นคนหนึ่งที่กำลังสร้างแบรนด์ร้านอาหาร Krungsri THE COACH ขอนำเสนอเทคนิค
“Food Storytelling” สำหรับธุรกิจอาหารที่ต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์เพื่อให้เกิดการซื้อขายหรือ Retention ในระยะยาว
Storytelling คืออะไร สำคัญอย่างไรกับแบรนด์
ความหมายของ Storytelling คือ การบอกเรื่องเล่าไม่ว่าจะเป็นที่มาที่ไปของสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ ความรู้ที่เกี่ยวข้อง หรือประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้ฟังของเรา เพราะทุกคนอยากรู้เรื่องของคนอื่น การเล่าประสบการณ์ของตัวเองว่าไปพบเจออะไรมา จะทำให้ผู้ฟังได้เห็นภาพและคล้อยตามสิ่งที่เราเล่าให้ฟังได้ ซึ่งเราสามารถเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ผ่าน ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนใจกับสิ่งที่เราเล่าให้ฟังมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นและกลายมาเป็นลูกค้าของเรา
ถอด 3 บทเรียนตัวอย่างการใช้ Food Storytelling ของ Oh! Juice ในการเล่าเรื่องอาหารให้ขายดี ไปดูกัน
- เทคนิค Food Storytelling ที่ 1: เล่าที่มาของเมนูหรือวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างพรีเมียม
จะเห็นได้ว่า Oh! Juice มีจุดขายในเรื่องวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสมของ Blue Majik จากสาหร่ายสไปรูลินา ที่แม้คนที่ไม่ได้รู้จักยังรู้สึกว่าเป็นของที่มีราคาแพง และอยากจะลองสักครั้งว่ารสชาติเป็นอย่างไร กินแล้วดีต่อสุขภาพอย่างไร ให้รู้กันไปว่ามันคุ้มค่ากับราคา 270 บาท ขนาดไหน และนอกจากนี้ยังเล่าถึงส่วนประกอบอื่น ๆ อย่างวัตถุดิบที่ทำจากอัลมอนด์ อะโวคาโด และคอลลาเจน ซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นของพรีเมียมและมีราคาแพง
- เทคนิค Food Storytelling ที่ 2: การอธิบายให้เห็นภาพของสินค้า
เราสามารถเล่าถึงสินค้าและทำให้ได้สัมผัสความรู้สึกว่า เมื่อได้กินแล้วมีความรู้สึกอย่างไร เช่น การถ่ายวิดีโอให้ผู้ชมได้เห็นตั้งแต่วิธีการทำ สินค้าที่ได้รับ และความรู้สึกจากการได้กิน ตัวอย่างเช่น สินค้าของ Oh! Juice ในเมนู Ocean N Earth นั้น ปั่นออกมาจะได้สีฟ้าคล้ายน้ำทะเล สลับกับครีมมะพร้าวสีขาวมีกลิ่นหอม และมีอะโวคาโดที่มีกลิ่นหอมสามารถตักกินกรุบ ๆ ได้ เมื่อทานแล้วจะรู้สึกว่านัวและฟินมาก ๆ แน่นอนว่าการทำให้ผู้ฟังได้เห็นภาพตามสิ่งที่เป็นประสบการณ์ของเราก็ย่อมทำให้หลาย ๆ คนอยากลองซื้อมาทานกันบ้าง
- เทคนิค Food Storytelling ที่ 3: การเล่าความหมายและที่มาของสินค้า
อีกวิธีหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการสร้าง Storytelling คือ การเปิดเผยความลับของที่มาที่ไปของสินค้า ตัวอย่างเช่น เมนูที่ชื่อว่า Angel’s Secret หรือความลับของนางฟ้าที่สามารถเล่าถึงองค์ประกอบ 3 ส่วนที่อยู่ในเมนูนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นภาพว่ามีอะไรบ้าง
ส่วนที่ 1 คือการนำสตรอเบอรีมาปั่นกับอัลมอนด์ มะพร้าว และวัตถุดิบอื่น ๆ มาปั่นให้เข้ากัน
ส่วนที่ 2 ครีมมะพร้าวที่มีส่วนผสมของสับปะรด แก้วมังกรและน้ำเชื่อมเมเปิล
ส่วนที่ 3 แยมสตรอเบอรี คอลลาเจน โปรตีน วิตามินซี
เมื่อผู้ฟังได้เห็นภาพและการบรรยายส่วนประกอบ ก็จะสามารถทราบถึงที่มาที่ไปของความหมายและสิ่งที่เขาจะได้รับจากการดื่มน้ำแก้วนี้ ทั้งในเรื่องของรสชาติและประโยชน์ต่อสุขภาพ
แม้ว่าราคาอาหารจะเป็นผู้คัดเลือกลูกค้าที่ใช่มาให้เรา แต่หากปราศจาก Storytelling แล้ว ก็จะกลายเป็นของแพงที่ไม่มีที่มาที่ไป บอกไม่ได้ว่าทำไมลูกค้าจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อของราคานี้ แต่หากเรามี Storytelling ที่ดี ทำให้ลูกค้ารู้ว่าเขากำลังจะจ่ายเงินไปกับอะไร ทำไมถึงคุ้มค่าที่จะต้องจ่าย ก็จะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีและยินดีที่จะจ่ายเงินให้ และนั่นจะทำให้แบรนด์ของเรามีความโดดเด่นกว่าคนอื่น
เรื่องนี้ไม่ต่างจากสินค้าแบรนด์เนมที่เขาจะขายเรื่องราวในประวัติศาสตร์และที่มาที่ไปของสินค้า ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราพร้อมที่จะจ่ายเงินซื้อเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของเขาเมื่อเวลาผ่านไป
อ้างอิง