Bitcoin ยังน่าลงทุนหรือไม่? เรื่องคริปโตเคอเรนซีที่ผู้ประกอบการควรรู้

ทุกวันนี้ใครๆ ต่างก็พูดถึงการลงทุนในเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี่อย่างกว้างขวาง เนื่องจากราคาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ 'บิตคอยน์' ที่สามารถทำราคาทะยานทะลุ 4.9 หมื่นดอลลาร์สหรัฐหรือราว 1.5 ล้านบาทต่อเหรียญเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งที่ธนาคารกลางและผู้กำกับดูแลตลาดทุนของแทบทุกประเทศจะออกโรงมาเตือนนักลงทุนนับครั้งไม่ถ้วนเรื่องความเสี่ยงที่มีอยู่ก็ตามที

หากพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ผู้คนอาจจะหมดหวังหรือเหนื่อยล้าจากการดำเนินธุรกิจที่ยากจะคาดเดาในยุคโควิด-19 นี้ ภาคบริการได้รับผลกระทบอย่างหนัก คนตกงานนับล้านคน ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ก็ทยอยปิดตัวจากปัญหาสภาพคล่องและหนี้สินที่รุมเร้า เป็นคนทำงานยุคนี้ไม่ง่าย ทำธุรกิจในยุคนี้กลับยากยิ่งกว่า จึงไม่แปลกที่จะเกิดนักแสวงโชค นักลงทุนหน้าใหม่ขึ้นมากมายที่ยังหวังหาผลตอบแทนที่ดีสำหรับความมั่นคงในชีวิต

จนเมื่อแพลตฟอร์มการชำระเงินอย่าง PayPal ประกาศรับชำระค่าสินค้าด้วยบิตคอยน์และหลายประเทศแถบโลกตะวันตกผ่อนคลายกฏเกณฑ์การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณและให้พื้นที่ยืนกับเทคโนโลยีทางการเงินใหม่นี้มากขึ้น จึงเริ่มเกิดแรงซื้อกลับขึ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางปีก่อน หลังจากที่เคยทำให้นักลงทุนผิดหวังในช่วงปลายปี 2017 ต่อเนื่องถึงปี 2018 ที่ทดสอบไม่ผ่านระดับ 2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐก่อนที่ราคาจะตกลงอย่างหนัก พร้อมกับเสียงประสานจากองค์กรการเงินทั่วโลกที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของคริปโตเคอเรนซี่ที่ตัดตัวกลางออกไป อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านไซเบอร์และอาชญากรรมทางการเงินได้ ตอนนั้นนักเชี่ยวชาญบางส่วนประเมินว่าบิตคอยน์คงไปไม่ถึงฝั่งฝันและกลายเป็นเครื่องมือเก็งกำไรเท่านั้น เกิดแรงเทขายจากกลุ่มประเทศที่เป็นตลาดสำคัญจนราคาล่วงลงไปแตะ 3,183.51 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ต่อมา

นอกจากนี้สิ่งที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กรวมทั้งประชาชนอย่างเราๆ ก็อาจจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินผ่านกลไกของระบบบล็อกเชนที่เรียกว่า Tokenization หรือการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน (หน่วยลงทุน) ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ทำให้ใครก็ได้บนโลกใบนี้สามารถเข้ามาซื้อโทเคนของร้านค้าหรือคอนโดมิเนียมที่เราถือครองก็ได้หากเขาเห็นแนวโน้มการเติบโตของรายได้หรือมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ ซึ่งผู้ประกอบการเองก็จะมีกระแสเงินสดในการลงทุนขยายปรับปรุงกิจการให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นต่อไป โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนตัวเล็กๆ

ไม่นานจากนี้ น่าจะมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอรนซี่ออกมาเรื่อยๆ เพราะอย่างไรก็ตาม กระแสนี้ก็มาไกลเกินกว่าจะปฏิเสธตัวตนของมันอีกต่อไป การกระจายการลงทุนยังเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงได้ สำหรับภาคธุรกิจที่จะนำบิตคอยน์ไปใช้กับการสื่อสารการตลาดถึงผู้บริโภค ก็คงจะทำได้ในลักษณะสีสันการตลาดก่อนเท่านั้นอย่างเช่นการชำระเงิน หรือการแลกเปลี่ยนแต้มสะสมเป็นเงินดิจิทัล เป็นต้น เมื่อทิศทางลงชัดเจนขึ้น การปรับสัดส่วนสินทรัพย์ในมือจากอสังหาริมทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่คริปโตเคอเรนซี่ก็อาจจะเป็นไปได้ถ้าจะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมดีขึ้นหรือลดต้นทุนของธุรกิจลง

การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ถ้าคิดจะลงทุนก็ต้องยอมรับความเสี่ยงด้วย