จากภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกและมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การทิ้งเงินไว้เฉย ๆ หรือแค่การฝากในธนาคารจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดโจทย์การลงทุนในตอนนี้ได้หลายเป็นการลงทุนที่จะชนะอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้เงินที่เรามีนั้นไม่เสียมูลค่าในตัวของมันไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทางเลือก ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ เช่น ตราสารหนี้ หุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือแม้แต่กองทุนรวม จึงกลับมาเป็นที่นิยม คนหันมาศึกษารายละเอียดมากขึ้น เพื่อค้นหาการลงทุนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากที่สุด และวันนี้เราจะมาแนะนำ “การลงทุนใน ETF” ที่นำจุดเด่นระหว่างกองทุนรวมและหุ้นมาไว้ด้วยกัน
ETF คืออะไร?
ETF หรือ Exchange Traded Fund คือกองทุนรวมประเภทหนึ่ง โดยส่วนใหญ่แล้วมีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีหรือราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนใช้อ้างอิง เช่น หุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ เป็นต้น “
กองทุน ETF” มีความพิเศษต่างจากกองทุนรวมประเภทอื่น คือ เหมือนการผสมผสานกันระหว่างหุ้นและกองทุนเข้าด้วยกัน สิ่งที่มีเหมือนกับกองทุนรวมทั่วไปคือมีมืออาชีพมาคอยบริหารจัดการในสิ่งที่เราต้องการที่จะลงทุนแต่ไม่มีความชำนาญ หรือไม่มีเวลาที่จะศึกษารายละเอียดในเรื่องนั้น ๆ มากพอ แต่โดยทั่วไป กองทุน ETF จะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป และสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และซื้อขายในระหว่างวันได้ ราคาที่ทำการซื้อขายจะเป็นราคา ณ ขณะนั้นซึ่งมีความแตกต่างจากกองทุนรวมที่ต้องรอราคาซื้อขาย ณ สิ้นวัน ซึ่งนี่เป็นจุดเด่นที่มีเหมือนกับการลงทุนหุ้น และเป็นความแตกต่างที่สำคัญของการลงทุน ETF กับการลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป
ข้อดีของการลงทุน ETF
ลงทุน ETF เป็นการลงทุนที่ทั่วโลกให้ความสนใจและปัจจุบันมีจำนวนกระแสเงินที่ไหลเข้ามาลงทุน ETF มากขึ้นเรื่อย ๆ เราสามารถเลือกประเภทการลงทุนที่เราสนใจได้ โดยสำหรับ ETF ที่มีนโยบายลงทุนเลียนแบบดัชนี (Passive ETF) ผลตอบแทนจะเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับผลประกอบการของดัชนีที่อ้างอิง สำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนน้อย (ขั้นต่ำ 100 หน่วย) กำไรที่ได้จากการลงทุน ETF ยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
ETF ยังมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ด้วยความที่มีการซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดจึงต้องมีผู้ดูแลสภาพคล่องอยู่ตลอดเวลาเพื่อเพิ่มสภาพคล่องเพราะการลงทุนแบบอ้างอิงตามราคาดัชนีนี้จะมีความผันผวนและต้องคอยดูจำนวน Volume ที่มีการไหลเข้าออกตลอดเวลา ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ต่างจากกองทุนรวมทั่วไปโดยสิ้นเชิง
ลงทุน ETF เหมาะกับใคร?
ETF (Exchange Traded Fund) เป็นการลงทุนที่เงินน้อยก็ลงทุนได้ อีกทั้งยังเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ใกล้เคียงกับความเสี่ยงของตลาดหรือดัชนีที่อ้างอิงนั้นๆ ผู้ที่ต้องการลงทุนแต่มีข้อจำกัดทางด้านเวลาที่จะศึกษาหลักทรัพย์รายตัว จึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการจัดสรรเงินการลงทุนในหลาย ๆ หลักทรัพย์ (Diversification) การลงทุน ETF ไม่ได้เหมาะกับนักลงทุนระยะสั้นเท่านั้น นักลงทุนระยะยาวก็สามารถลงทุน ETF ได้เช่นกัน โดยถือในระยะยาวเพื่อรอเงินปันผล ขึ้นอยู่กับความต้องการและเป้าหมายของผู้ลงทุน ณ เวลานั้น ๆ หรือสรุปได้ว่าลงทุน ETF เหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือเก๋าที่เล่นหุ้นหรือมีกองทุนอยู่แล้วก็สามารถลงทุน ETF ได้ เพื่อกระจายความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ซื้อ ETF ต้องทำอย่างไร
ซื้อ ETF อย่างไร? อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่าการซื้อ ETF สามารถซื้อขายได้แบบหุ้น ดังนั้นผู้ที่ต้องการซื้อ ETF ต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งการเปิดบัญชีเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์สามารถทำได้ทั้งผ่านโบรกเกอร์ที่จดทะเบียนเป็นสมาชิกกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ก็ได้หรือใครมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์อยู่แล้วก็สามารถใช้บัญชีเดิมเพื่อเริ่มซื้อได้เลย
เงื่อนไขที่ต้องรู้ก่อนเริ่มซื้อ ETF
ETF (Exchange Traded Fund) มีหลักในการซื้อขายเหมือนหุ้น คือ Price Then Time Priority คำสั่งซื้อที่เสนอราคาสูงสุดจะถูกจัดเรียงไว้ลำดับแรก และหากมีผู้ที่สั่งซื้อในราคาเดียวกันผู้ที่ทำรายการก่อนจะได้ก่อนเสมอ แต่หากเป็นคำสั่งขายผู้ที่เสนอขายในราคาต่ำที่สุดก็จะถูกจัดไว้ในอันดับแรกเช่นกัน และหากมีผู้ที่เสนอซื้อ และเสนอขายในราคาเดียวกันระบบก็จะทำการซื้อขายให้โดยอัตโนมัติ
สิ่งที่ต่างจากกองทุนคือการไม่กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำในการลงทุน แต่จะ “กำหนดขั้นต่ำใน 1 Board lot หรือมีค่าเท่ากับ 100 หน่วย” ตัวอย่างเช่น หาก ETF ที่เราต้องการซื้อนั้นมีราคาหน่วยละ 1 บาท จำนวนเงินขั้นต่ำที่เราต้องจ่ายจะเป็นจำนวน 100 บาท ขึ้นอยู่กับ ETF ที่เราเลือก
สิ่งที่ต่างจากหุ้นคือช่วงของราคาจะมีการขยับขึ้นลงเพียงครั้งละ 0.01 บาทเท่านั้น ส่วนหุ้นช่วงของราคาจะแปรเปลี่ยนตามระดับราคาของหุ้น การลงทุน ETF จึงมีความเสี่ยงในการเจอราคาที่ผันผวนน้อยกว่าหุ้นรายตัว และช่วงของราคาที่ต่ำทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายนั้นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เทคนิคการเลือกซื้อ ETF ให้คุ้มค่า
ซื้อ ETF อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด? ETF โดยส่วนใหญ่จะมีนโยบายการลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีของหลักทรัพย์ที่อ้างอิง (Passive Strategy) ไม่ได้มุ่งเน้นที่จะสร้างผลตอบแทนเพื่อเอาชนะตลาดเหมือนกองทุนส่วนใหญ่ (Active Strategy) ด้วยเหตุผลตรงนี้ทำให้ ETF มีค่าธรรมเนียมในการจัดการที่ต่ำกว่ากลุ่มกองทุนประเภท Active Fund หลักการเลือกจึงต้องคำนึงถึงดัชนีอ้างอิงที่เราต้องการเข้าไปซื้อ ETF นั้น เราต้องย้อนกลับมามองในภาพรวมว่าเราสนใจลงทุน ETF ประเภทใด
กองทุน ETF มีกี่ประเภท?
ปัจจุบันการลงทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีดังนี้
- ลงทุน ETF ตามดัชนีหุ้นในประเทศ (Index ETF) ที่อิงกับดัชนีของหุ้น SET50 จะเหมือนกับเราได้กระจายความเสี่ยงในการซื้อหุ้น 50 ตัวที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูง และผ่านเกณฑ์อื่น ๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
- ลงทุน ETF ตามดัชนีประเภทกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector ETF) เช่น เราสนใจในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ก็จะอิงตามดัชนีของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้
- ลงทุน ETF ตามดัชนีหุ้นต่างประเทศ (Foreign ETF) เช่น หากเราสนใจในหุ้นจีน เชื่อว่าจะมีการเติบโตที่ดีในอนาคต ก็สามารถเลือกประเทศที่เราสนใจจะลงทุนได้
- ลงทุน ETF ตามดัชนีราคาทองคำ (Gold ETF) ก็จะอิงกับดัชนีของราคาทองคำ
- ลงทุน ETF ตามดัชนีราคาตราสารหนี้ (Bond ETF) ก็จะอิงกับราคาดัชนีแค่ในกลุ่มของตราสารหนี้
จะเห็นได้ว่าการซื้อ ETF จะมีหลายประเภท และแต่ละประเภทก็จะมีกองทุนหลายรูปแบบแตกแขนงออกไปอีก โดยผู้ซื้อควรศึกษานโยบายของแต่ละกองทุนว่ามีรายละเอียดอย่างไร การเรียนรู้และศึกษาในเรื่องที่เราจะลงทุนอย่างละเอียดเป็นพื้นฐานในการลงทุนไม่ใช่แค่การเลือกกองทุน แต่เป็นพื้นฐานในทุกศาสตร์ของการลงทุนอีกด้วย อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อ ETF คือ สภาพคล่องของกองทุน ขนาดของกองทุนและชื่อเสียงของบริษัทผู้บริหารกองทุน
อีกหนึ่งทางเลือกใน
การลงทุน ETF ในตลาดต่างประเทศ ผู้นำเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ผ่านกองทุนเปิดกรุงศรียูเอสอิควิตี้อินเด็กซ์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์
KFUSINDX เป็นกองทุนลงทุนในหุ้นที่อ้างอิงกับดัชนี S&P500 Index ผ่านกองทุน ETF ต่างประเทศ iShares Core S&P 500 ETF
โดยมีจุดเด่นคือมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตามภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะอ้างอิงกับหุ้นในบริษัทใหญ่ หรือถ้าเทียบให้เห็นภาพก็คล้ายกับหุ้นในดัชนี SET50 SET100 ของบ้านเรา ใช้เงินลงทุนน้อยกระจายความเสี่ยงได้ดี และเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยม สภาพคล่องสูงมูลค่ากองทุนสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ บริหารกองทุนโดยผู้จัดการกองทุนของ BlackRock บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก และทิศทางของดัชนี S&P500 Index มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายหลังการเจอวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก สงครามระหว่างรัสเซีย ยูเครน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อและการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
แต่ถึงอย่างไร “
การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง” การศึกษาหาความรู้และเข้าใจในความเสี่ยงของการลงทุน ETF และทุก ๆ การลงทุนที่เราจะก้าวเข้าสู่ตลาดเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าซื้อ ETF กองไหนดีที่สุด? กองไหนเสี่ยงน้อยที่สุด แต่สิ่งที่บอกได้เลยคือการลงทุนโดยขาดความรู้ นั่นคือการลงทุนที่เสี่ยงที่สุด
หากคุณต้องการขอรับคำปรึกษาหรือคำแนะนำเพิ่มเติมในด้านวางแผนการลงทุนตามระดับความเสี่ยง ทางธนาคารกรุงศรีก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุน สามารถปรึกษาผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่ 02-296-5959 จันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้
ที่ปรึกษาทางด้านการเงินจาก KRUNGSRI PRIME ติดต่อกลับ นึกถึงเงินล้านแรกและการต่อยอดเงินล้าน นึกถึง “KRUNGSRI PRIME”
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุน KFUSINDX มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ)