8 เรื่องต้องรู้…สแกนหุ้น จากการอ่านงบการเงิน
รอบรู้เรื่องลงทุน
icon-Facebook icon-Twitter icon-line

8 เรื่องต้องรู้…สแกนหุ้น จากการอ่านงบการเงิน

icon-access-time Posted On 28 เมษายน 2564
By นิ้วโป้ง อธิป กีรติพิชญ์
ในบรรดาการลงทุนในหุ้นทุกชนิด “หุ้นเติบโต” คือการลงทุนที่ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะนักลงทุนระยะกลาง 3-5 ปี หรือนักลงทุนระยะยาวที่ถือหุ้นเป็นพอร์ตในระดับ 5-10 ปีขึ้นไป การอ่านงบการเงินโดยมองอัตราการเติบโตในอนาคตของกิจการ จึงเป็นเดิมพันขั้นสูงในการลงทุน
คำว่า “เติบโต” จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น มือใหม่ รายย่อย นักวิเคราะห์ กูรู หรือกระทั่งเซียนหุ้นพันล้าน ล้วนต้องการอ่านงบการเงินเพื่อหา “หลักการมองหาหุ้นเติบโต” ที่มีทั้งส่วนที่เป็น ปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น เมกะเทรนด์ วิเคราะห์อุตสาหกรรม วิเคราะห์ตัวหุ้น เพื่อมองหาแนวโน้มความต้องการสินค้าและบริการในระยะยาว (Demand Trend) และความได้เปรียบเชิงแข่งขัน (Competitive Advantage) ของกิจการนั้น ๆ รวมไปถึง ปัจจัยเชิงปริมาณ ที่จะเป็นตัวยืนยันในเชิง “ตัวเลข” ว่าตัวกิจการนั้นมีงบการเงินเป็นอย่างไร

การติดตามอ่านงบการเงิน เพื่อวิเคราะห์ผลประกอบการของหุ้นที่เราถืออยู่หรือแม้แต่หุ้นเป้าหมาย จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งผมอยากเล่าความเป็นจริงเกี่ยวกับการอ่านงบการเงินให้กับนักลงทุนมือใหม่ว่าการ “สแกนหุ้น จากงบการเงิน” มี 8 เรื่องต้องรู้ ดังนี้
  1. อ่านงบการเงินไม่ใช่เรื่องยาก อย่าเพิ่งคิดไปก่อนว่ามันยากครับ อยากให้ลองเทียบกับคนเป็นพ่อแม่
    • พ่อแม่เห็นลูกอ่านหนังสือ ท่าทางเฉลียวฉลาด แล้วจะมโนไปเองว่าลูกฉันต้องผลการเรียนดี เก่งกว่าเด็กคนอื่น ๆ คงไม่ได้ เพราะผลการเรียนที่จับต้องได้คือ เกรด ที่แสดงผลการเรียน
    • ถ้าจะติดตามผลการ “ลงทุนทางการศึกษา” ของลูกหลาน ก็ต้องตามดูที่ “สมุดพก” ที่โรงเรียนจะออกผลมาปีละ 2 ครั้ง คือเทอม 1 กับ เทอม 2 เป็นการบอกฝีมือการเรียนตลอดภาคเรียน เช่น เดียวกับการลงทุน นักลงทุนที่เข้าลงทุนในกิจการ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะติดตามดู “สมุดพก” ของกิจการเช่นกัน ซึ่งก็คือการ “อ่านงบการเงิน”
    • ต่างกันตรงที่ผลการเรียนอาจจะมี 2 เทอม แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทออกปีละ 4 ครั้ง นั่นคือ ไตรมาส 1, 2, 3 และ งบปี
  2. หัวใจสำคัญก็คือ
    • นักลงทุนควรเข้าใจก่อนอ่านงบการเงินว่า ส่วนใดในงบการเงินมีความสำคัญอย่างไรต่อการตัดสินใจลงทุน เราไม่ได้เรียนรู้ที่จะอ่านงบการเงินเพื่อการลงบัญชีเดบิตเครดิตนะ แต่เรา “ทำความเข้าใจ” ข้อมูลในงบการเงิน เพื่อใช้สแกนหุ้นเบื้องต้น หาโอกาสในการลงทุน
    • เราต้องดูตรงไหน? ข้อมูลใดสำคัญอย่างไร? ที่มาจากธุรกิจคืออะไร? เพื่อใช้ตัดสินใจลงทุนในหุ้น
    • อีกทั้งใช้งบการเงินในการกรองหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรยุ่งเกี่ยวออกไป เช่น หุ้นงบเน่า หนี้สินล้นพ้น ส่วนของผู้ถือหุ้นเหลือบางเฉียบ เสี่ยงเพิ่มทุน หรือผู้ตรวจสอบบัญชีไม่เซ็นต์รับรองงบ เป็นต้น
  3. สำหรับนักลงทุนระยะสั้นรายวัน รายสัปดาห์ หรือนักเก็งกำไร
    • อาจจะเชื่อว่า การอ่านงบการเงินเป็นเรื่องไม่จำเป็น เพราะไม่ได้จะถือหุ้นยาวข้ามเดือน ข้ามปีอยู่แล้ว ประเด็นนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว มีเพื่อนฝูงเป็นนักเก็งกำไรหลายท่าน มีหลายครั้งเข้าซื้อหุ้นแบบเก็งกำไร สุดท้ายผิดทางแต่ไม่กล้าคัทลอส (ตัดขาดทุน) ถือหุ้นติดมือต่อไป ซึ่งการถือหุ้นพื้นฐานดีกับหุ้นไร้พื้นฐานจะต่างกันมาก
    • ผมอยากเสนอว่า แม้จะเป็นการเก็งกำไร แต่ก็ไม่ควรเล่นหุ้นที่พื้นฐานแย่จนถือไม่ได้ ดังนั้นการซื้อหุ้นทุกครั้ง เราควรได้อ่านงบการเงินแบบสรุปมาบ้าง เอาแค่ดูผ่านไปแล้วพบว่า มีรายได้ มีต้นทุนค่าใช้จ่ายสมเหตุผล และพอมีกำไร ไม่ใช่ขาดทุนซ้ำซาก ต้องมีธุรกิจที่เป็นไปได้อยู่จริง เพราะเราควรหลีกเลี่ยงหุ้นเน่า ขาดทุนซ้ำซาก หนี้หนา ทุนบาง ขาดทุนสะสมหนาปึ้ก หุ้นแบบนั้นอย่าไปยุ่งเลยครับ
  4. นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตามอ่านงบการเงิน
    • สาระสำคัญของงบการเงินที่นักลงทุนต้องดู มีอยู่ด้วยกันสามงบและหนึ่งรายงาน คือ งบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) งบกระแสเงินสด และหมายเหตุประกอบงบการเงิน
    • การติดตามอ่านงบการเงินเหล่านี้ ทำให้เราเห็นหลักฐานเป็นตัวเลขชัดเจน ที่ช่วยยืนยันพัฒนาการของกิจการ ไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย
  5. ตลาดหุ้นส่วนใหญ่
    • เล่นที่ “กำไรโต” หรือที่เราเรียกว่า Earnings Growth ในขณะที่หุ้นเทคโนโลยีระดับโลก ก็เล่นที่ “รายได้โต” ซึ่งเป็นสัญญาณดีว่ากิจการกำลังเติบโต ตลาดกำลังเติบโตหรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้
    • ดังนั้นการอ่านงบการเงินแรกที่เราควรตรวจสอบ คือ งบกำไรขาดทุน (หรือ Income Statement) ใช้ดูผลการดำเนินงาน เราต้องการหุ้นที่ รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ซึ่งควรสแกนดูทั้ง topline หรือ “รายได้” บรรทัดแรก และ bottom line หรือ “กำไรสุทธิ” บรรทัดสุดท้าย ทั้งสองตัวเลขสำคัญต้องเป็นบวกและควรจะเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ไตรมาสที่แล้ว
    • แต่…การจะมีกำไรสุทธิเพิ่ม ก็ควรต้องมาจาก “รายได้เพิ่ม” ไม่ควรมาจากการลดต้นทุนอย่างเดียวเพราะเป็นการเพิ่มกำไรที่ไม่ยั่งยืน
    • อย่าลืมว่า...หากบริษัททำมาหากินมีรายได้เพิ่ม มีกำไรเพิ่ม ผู้ถือหุ้นก็จะอยู่ดีกินดีไปด้วย เพราะกิจการจะตอบแทนผู้ถือหุ้นในสองรูปแบบ คือ ทางตรง...ผ่านการจ่ายปันผลดี (Dividend Yield) กิจการต้องมีกำไรจึงจะจ่ายเงินปันผลเพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นออกมาได้ หรือโดยทางอ้อม...ผ่านราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น (Capital Gain) กล่าวคือ เมื่อกิจการมีรายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ย่อมมีโอกาสสูงที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นได้ด้วย
8 เรื่องต้องรู้…สแกนหุ้น จากงบการเงิน
  1. ดูฐานะและโครงสร้างทางการเงิน ผ่านทางงบแสดงฐานะการเงิน (หรือ งบดุล, Balance Sheet) คือ
    • คุณภาพสินทรัพย์ ต้องเป็นสินทรัพย์ที่พร้อมทำมาหากินและมีอนาคตในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง หลัก ๆ คือ เงินสด ลูกหนี้ สินค้าคงคลังและที่ดินอาคารอุปกรณ์ ซึ่งอาจจะเป็น อาคารโรงพยาบาล โครงข่ายสื่อสารโทรคม ระบบท่อส่งน้ำ โครงข่ายทางด่วนรถไฟฟ้า เป็นต้น
    • สภาพคล่องกิจการ การอ่านงบการเงินของธุรกิจที่น่าลงทุนควรมี สินทรัพย์หมุนเวียน (เงินสด, ลูกหนี้) มากกว่า หนี้สินระยะสั้น (เงินกู้สั้นที่ต้องชำระคืนใน 1 ปี)
    • ความมั่นคงของกิจการคือดู D/E (Debt to Equity ratio) ธุรกิจที่หนี้สินล้นพ้นตัว ส่วนของผู้ถือหุ้นบางเฉียบ จัดว่าไม่ดี ค่า D/E ปกติไม่ควรเกินสองเท่า ถ้า "หนี้น้อย ส่วนทุนหนา" จึงดูดี
    • กำไรสะสม (Retained Earnings) คือ กำไรสุทธิที่เกิดจากการทำมาหากินของบริษัทนับตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัทจนถึงปัจจุบัน บริษัทที่มีกำไรสะสมมาก แสดงถึงฝีมือทำมาหากินที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง เพิ่มโอกาสปันผลสูง
  2. ดูกระแสเงินสดกิจการ ผ่านงบกระแสเงินสด (หรือ Cash Flow Statement) ซึ่งมีสามส่วน

    ส่วนที่ 1 กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน การอ่านงบการเงินที่ดีควรดูถึงตัวเลขที่แสดงกระแสเงินสดไหลเข้าออกจากการทำมาหากิน ซึ่งเงินสดส่วนนี้ บรรทัดสุดท้ายควรต้องเป็นบวก แปลว่าทำมาหากินแล้วสร้างเงินสด ไม่ใช่ผลาญเงินสด และเงินสดที่เป็นบวกในส่วนนี้ จะช่วยยืนยันว่า กำไรสุทธิจากงบกำไรขาดทุน มีเงินสดแบ็คอัพอยู่จริง

    ส่วนที่ 2 กระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุน แสดงการใช้เงินสดออกไปลงทุน ถ้าส่วนนี้เป็นลบแปลว่าดีเพราะแสดงว่ามีการนำเงินออกไปลงทุนสร้างผลตอบแทนเพิ่ม กิจการยังไม่หยุดขยายงาน

    ส่วนที่ 3 กระแสเงินสดสุทธิจากการจัดหาเงิน ถ้าเป็นลบ แสดงว่าใช้เงินสดจ่ายออก เช่น ปันผลหรือชำระหนี้ แต่ถ้าส่วนนี้เป็นบวก แสดงว่ารับเงินสดเข้า เช่น กู้เงินเพิ่มหรือเรียกเพิ่มทุนเข้ามา ซึ่งนักลงทุนไม่ชอบ แบบนี้เห็นชัดเลยว่า เป็นลบ คือดี
8 เรื่องต้องรู้…สแกนหุ้น จากงบการเงิน
  1. อ่านรายงาน หมายเหตุประกอบงบการเงิน (หรือ Notes to Financial Statement)
    • ใช้ดูขยายความรายการต่างๆ ในงบการเงินทั้งสามแบบละเอียด แทบจะรายการต่อรายการ
    • ใช้ติดตามเหตุการณ์พิเศษ เช่น ดูคดีความฟ้องร้อง และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการได้
โดยสรุป ก่อนลงทุนหุ้นตัวใด นักลงทุนควรรู้จักสแกนหุ้นจากการอ่านงบการเงิน เพื่อเฟ้นหาหุ้นเติบโต นี่คือส่วนสำคัญที่จะทำให้เรามั่นใจขึ้นได้ว่า กิจการที่เราสนใจมีฐานะทางการเงินที่แข็งแรงจริง มีเส้นทางแห่งการเติบโตให้เห็นผ่านตัวเลขจากการอ่านงบการเงิน ที่เราสามารถวิเคราะห์ต่อไปได้ ในงบการเงินจะแสดงสัญญาณเล็กๆ มากมายที่จะบอกว่าหุ้นตัวนี้ดีมีคุณภาพ ทั้งยังสามารถเติบโตต่อไปได้ นี่คือการทำความรู้จักกับหุ้นที่ง่ายและได้ผลดีจริง
pym logo
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
พิมพ์สิ่งที่ต้องการค้นหา