“ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดร่วง เนื่องจากนักลงทุนรอผลแถลงการประชุมเฟดในวันนี้”
“แบงก์ชาติ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลง 0.25% เหลือ 2.75% หลังกังวล เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ”
ถามว่าข้อความข่าวด้านบน เคยคิดจะสนใจติดตามไหม เมื่อก้าวเข้ามาเป็นนักลงทุนแล้ว เคยอ่านข้อมูลข่าวสารแล้วเอามาวิเคราะห์ประกอบการลงทุนของตัวเองบ้างไหม หรือเป็นแนวไม่ต้องสนใจอะไรก็ลงทุนไป เก็งกำไรตามใจชอบ ตามที่คนนั้นคนนี้บอก และเมื่อตลาดหุ้นมีปัญหา สิ่งที่ทำก็คือ “ทำไมวันนี้หุ้นตกแรงจัง เกิดอะไรขึ้น ติดดอยเลย”
ถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับเรา จะดีแค่ไหนถ้าเราเอาข้อมูลข่าวสารมาวิเคราะห์ เป็นสัญญาณเตือนก่อนการลงทุนของเรา หรือลงทุนไปแล้วจะได้ปรับตัวหนีทัน
การอ่านข้อมูลข่าวสารมันก็ไม่มีอะไรยากจนเกินไป แม้เราไม่ได้เรียนจบทางการเงินโดยตรง แต่ก็พอที่จะประเมินแบบง่ายๆ ตามสไตล์มนุษย์เงินเดือนได้ แต่ก็ขอให้บริโภคข่าวสารแต่พอเหมาะอย่าเยอะจนเกินไปในยุคข้อมูลข่าวสารเสิร์ฟถึงมือคุณ เรามาดูกันว่าจะมีแนวในการวิเคราะห์อย่างไร ผมขอยกตัวอย่าง ตลาดหุ้นบ้านเรา ที่เมื่อเจอปัจจัยต่างๆ เข้ามา เราพอจะมองทิศทางตลาดหุ้นได้อย่างไร และต้องทำความเข้าใจกันไว้ก่อนนะครับว่า ตลาดหุ้นจะเป็นตัวบอกแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต เช่น เราเห็นตลาดหุ้นขึ้น ก็บ่งบอกว่าคนเข้ามาซื้อหุ้นเพราะเชื่อว่าแนวโน้มต่อไปมันจะดีขึ้น จึงเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนไว้ ในทางกลับกันเมื่อตลาดลงมีขายหุ้นออก เพราะมองว่าแนวโน้มต่อไปไม่น่าจะดี หนีออกมาถือเงินสดไว้ก่อน เราลองมาดูตัวอย่างกัน
1. “ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดร่วง”
เจอแบบนี้ตลาดหุ้นบ้านเราก็จะลงตามเมื่อเปิดตลาด ประมาณว่าสมัยนี้เราเชื่อมต่อกันทั่วโลก ถ้าเศรษฐกิจบ้านเขาไม่ดี คนในประเทศไม่จับจ่ายใช้สอย ก็จะมีผลกระทบมาที่เราทำให้การส่งออกเราไม่ดี ก็พลอยทำให้เศรษฐกิจเราไม่ดีไปด้วย ตลาดหุ้นก็เลยลง แปลกดีไหม มองกันไปไกลเลย แต่บางทีตลาดบ้านเราก็ไม่ลงตามเขาก็ได้ มีความเป็นตัวของตัวเองในบางครั้ง ก็เพราะว่าเราอาจมีข่าวดีจากปัจจัยภายในเข้ามา ก็ทำให้ตลาดหุ้นเราบวกได้ เรื่องพวกนี้ก็จะมีผลระยะสั้น ซึ่งแต่ละวันเราก็จะเห็นมันขึ้นๆ ลงๆ เป็นธรรมดา
2. ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย
เรื่องนี้ก็จะมีผลกระทบกับตลาดหุ้นด้วยนะครับ ถ้าเขาบอกว่าปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นก็จะสามารถกู้เงินมาลงทุน ทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น ตลาดหุ้นก็จะขึ้นทันทีสะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มอนาคตจะดี ในทางตรงกันข้ามถ้าเพิ่มอัตราดอกเบี้ย บริษัทก็จะมีความสามารถทำกำไรได้น้อยลง เพราะต้องไปจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น แบบนี้ตลาดหุ้นก็จะลงสะท้อนแนวโน้มข้างหน้าไม่ดี
3. สถานการณ์บ้านเมือง
เราคงพอจะสัมผัสกันมาบ้างแล้วในอดีต เมื่อการเมืองไม่นิ่ง รัฐบาลก็ไม่มีเวลาไปพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจก็ไม่โต ตลาดหุ้นก็จะลงสะท้อนให้เห็นแนวโน้มอนาคตไม่ดี แต่บางทีตลาดรับรู้เรื่องราวไว้หมดแล้ว มันก็ไม่ลงตลอด ก็จะมีขึ้นบ้างอะไรบ้าง เช่น บางทีมีข่าวการเมืองเข้ามา แต่ตลาดไม่รู้สึกอะไร ประมาณว่าเคยเจอแรงกว่านี้ เลยไม่ตกใจ และในทางกลับกันถ้ารัฐบาลบริหารประเทศ พัฒนาตามนโยบายที่ให้ไว้ โครงการต่างๆ ก็ผุดขึ้นมา หุ้นที่ได้รับอานิสงส์ก็จะขึ้นกันถ้วนหน้า แต่ถ้าโครงการพับลงไป หุ้นเหล่านั้นก็พร้อมใจกันที่จะลงทันที เพราะบ่งบอกว่าอนาคตกำไรที่จะได้จะหายไป
4. อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
ถ้าค่าเงินบาทแข็ง ก็หมายถึงเราใช้เงินน้อยลงในการแลกเงินดอลล่าห์สหรัฐ ธุรกิจประเภทต้องนำเข้าวัตถุดิบก็จะมีต้นทุนที่ต่ำลง แต่ในธุรกิจส่งออกจะไม่ดี เพราะเขาซื้อของกับเราต้องใช้เงินที่เพิ่มขึ้น
จากตัวอย่างเราก็พอจะเห็นสัญญาณที่จะกระทบกับตลาดหุ้น หรือกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้เราเพิ่มความระมัดระวังและช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้
แต่ละปัจจัยไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกที่มีผลกระทบ เราก็ต้องดูด้วยว่ามันเป็นแค่ระยะสั้น หรือใช้ระยะเวลานาน ส่งผลกระทบกับธุรกิจหุ้นที่เราสนใจมากน้อยแค่ไหน ข่าวลือต่างๆ ที่จะมากระทบก็ต้องระวัง หากเรามั่นใจในธุรกิจที่เราจะลงทุนถือยาวๆ ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร กับผลกระทบระยะสั้น
นอกจากนี้ก็อาจนำเครื่องมือ Technical Analysis เปิดกราฟมาช่วยในการดูแนวโน้มของราคาหุ้นที่เราสนใจได้ ซึ่งหลักการเบื้องต้นหากหุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้นก็สามารถที่จะลงทุนต่อไปได้ แต่หากเริ่มมีสัญญาณทางเทคนิคกลับตัวว่ามีแนวโน้มขาลง ก็ต้องระมัดระวัง ควรมีการขายทำกำไรออกมาเพื่อลดความเสี่ยง โดยทั้งนี้กราฟ สามารถกำหนด Time Frame ให้เข้ากับระยะเวลาการลงทุนที่เราวางไว้ได้
การลงทุนมีความเสี่ยงเพราะฉะนั้นเราควรจะควบคุมความเสี่ยง เมื่อเรารู้สัญญาณที่อาจจะกระทบการลงทุนของเรา จะได้เตรียมตัวรับมือได้ทัน เพื่อให้เงินทุนของเราเสียหายน้อยที่สุด และไปสู่เป้าหมายกำไรที่เราวางเอาไว้