‘การออมเงิน’ ใครๆก็รู้ว่าสำคัญ เผื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต เป็นเงินฉุกเฉิน เอาไว้ลงทุน หรือเก็บยาวไว้เผื่อเกษียณเร็ว เกษียณรวย
ไม่ว่าไลฟ์สไตล์ของคุณจะเป็นแบบไหน เคยคำนวณกันไหม ว่าแต่ละเดือนเนี่ย เลเวลการออมของเราอยู่ในระดับไหน?
เช็คกันง่าย ๆ ลองดูว่าไลฟ์สไตล์การจับจ่ายของเราเป็นแบบไหน? ออมได้บ้างไหม? ใช้เงินไปกับอะไรมากที่สุด?
|
A |
B |
C |
|
เลเวลการออม : ชักหน้าไม่ถึงหลัง |
เลเวลการออม : เหลือก็เก็บ |
เลเวลการออม : แบ่งส่วนเงินตั้งแต่แรก |
ค่าที่พัก |
8,000 |
5,000 |
4,000 |
|
ที่พักขอสะดวกสบายนิดนึง คอนโดติดแนวรถไฟฟ้า |
ที่พักก็สะดวกสบายระดับนึง |
ที่พักไม่ต้องสะดวกสบายมาก เอาแค่พออยู่ได้ |
ค่าเดินทาง |
2,500 |
2,500 |
2,000 |
|
บีทีเอสบ้าง แท็กซี่บ้างตามเวลาอยากสบาย |
บีทีเอสบ้าง แท็กซี่บ้างตามเวลาอยากสบาย |
เน้นการใช้บีทีเอสและรถขนส่งสาธารณะเป็นหลัก |
ค่าข้าว |
5,500 |
5,500 |
4,500 |
|
มีมื้อพิเศษบ้าง บุฟเฟต์บ้างตามความอยากกิน |
มีมื้อพิเศษบ้าง บุฟเฟต์บ้างตามความอยากกิน |
ค่าข้าวมื้อละ 50 บาทขาดตัว |
ค่าน้ำ/กาแฟ |
1,000 |
500 |
500 |
|
กินเป็นบางวันแต่กาแฟแก้วละ 100 |
กินเป็นบางวัน |
กินเป็นบางวัน |
ค่าเสื้อผ้า |
6,000 |
4,000 |
3,000 |
|
คเห็นเสื้อผ้าถูกใจ ห้ามใจไม่เคยไหว |
ซื้อเท่าที่อยากซื้อ |
ซื้อ แต่มีจำกัดงบ |
ค่าของใช้ส่วนตัว |
1,000 |
1,000 |
1,000 |
เงินออม |
-3,000 |
1,500 |
5,000 |
เปอร์เซนต์เงินออม |
-15% |
7.5% |
25% |
จากตารางข้างบน คิดว่าไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายของคุณเป็นแบบไหน?
ถ้าคุณเป็นคนแบบ A - สถานะ : ชักหน้าไม่ถึงหลัง!
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมแต่ละเดือน เงินถึงไม่พอใช้ เพราะคุณใช้จ่ายตามใจจนเกินตัว ไม่เคยวางแผนว่าเดือนนี้ต้องใช้จ่ายอะไร เป็นเงินเท่าไหร่ สุดท้ายปลายเดือนก็ไม่มีเงินเหลือเก็บ แถมมีหนี้สินติดลบอีกต่างหาก
ดูจากบันทึกการใช้จ่ายแล้ว เห็นชัดเลยว่าคนแบบ A ไม่สามารถแยกแยะความจำเป็นกับความอยากได้ ค่าเสื้อผ้าก็เลยสูงถึงเดือนละ 6,000 บาท ยังไม่รวมการใช้จ่ายที่เกินจำเป็นอย่างเช่น ค่ากาแฟที่ตกเดือนละ 1,000 บาท หรือค่าอาหารมื้อพิเศษอื่นๆ อีก รวมกันแล้วมากกว่า 35% ของรายได้เลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ตามหลักแล้ว ค่าใช่จ่ายส่วนนี้ไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ ถือว่ามากเกินไปจนสถานะทางการเงินติดลบ
วิธีเปลี่ยนสถานะเงินออมที่เหมาะสมกับคนแบบ A – ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
- ใช้วิธีจดบันทึกค่าใช้จ่าย อาจจะด้วยสมุดจดหรือใช้ App ต่าง ๆ จะได้รู้ว่ารายจ่ายไหนที่ไม่จำเป็น ตัดออกได้บ้าง
- ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง การกินบุฟเฟต์ที่อาจจะจำกัดเหลือเดือนละ 2 ครั้ง , รองเท้าเก่ายังดีอยู่เลย ชะลอการซื้อรองเท้าใหม่ไปก่อนแล้วกัน , ไปเที่ยวตอนนี้ยังไม่ดีมั้ง รอไปเที่ยวช่วงอื่นดีกว่า
- ถ้าตัดรายจ่ายไม่ได้จริงๆ ลองหารายได้เสริม เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของตัวเอง ก่อนที่คุณจะเริ่มเป็นหนี้
ถ้าคุณเป็นคนแบบ B - สถานะการออม : เหลือใช้แล้วค่อยเก็บ
จริง ๆ ก็ มีความพยายามจะเก็บเงิน แต่ใช้ระบบเหลือก็ค่อยเก็บ เหลือจากค่าใช้จ่ายตอนปลายเดือนเท่าไหร่ ก็เก็บเท่านั้น บางเดือนก็เลยไม่เหลือ เพราะเจอสิ่งของที่อยากได้ อยากซื้อ อยากกิน
ถ้าดูจากบันทึกการใช้จ่ายแล้ว คนแบบ B สามารถแยกแยะได้ระดับนึงระหว่างความจำเป็นกับความอยาก
สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอย่างค่ากาแฟ , ค่าเสื้อผ้าบางอย่างได้ แต่ไม่มีระบบในการจัดการเงินที่ดี ทำให้มีเงินออมเพียง 7.5% ของรายได้
วิธีแก้ปัญหาของคนแบบ B - เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการออม
- ลองใช้ระบบแบ่งส่วนเงินตั้งแต่วันที่เงินเดือนออกเลย หัก 20% เข้าบัญชีเงินออมทันทีที่เงินเดือนออก
- ส่วนที่เหลือ แบ่งเป็น 50% สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าข้าว, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก
- 30% แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายตอบสนองความต้องการของตัวเอง เช่น ค่าเสื้อผ้า, ค่าอาหารมื้อหรู
- แบ่งเงินเป็นสัดส่วนมากขึ้น ป้องกันปัญหาการใช้เงินเกิน
ถ้าคุณเป็นคนแบบ C - สถานะการออม : แบ่งเงินออมตั้งแต่แรก
ปรบมือรัว ๆ สำหรับคนแบบ C คุณไม่มีปัญหาด้านการบริหารเงินเลย เงินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็เพียงพอ อยากซื้อเสื้อผ้าอะไรก็ซื้อได้ ขอแค่ไม่เกินเงินที่แบ่งส่วนไว้แค่นั้นเอง เงินเก็บออมก็มี อยากจะใช้เงินออมเพื่อทำตามความฝันในบางครั้งคราวก็ได้ ไม่กระทบต่อเงินค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เวลาฉุกเฉินก็อุ่นใจว่าเราก็มีเงินออมสำรองอยู่
แต่คนแบบ C ก็ควรหาวิธีที่ทำให้เงินออมของเรางอกเงย เช่น ลงทุนในบัญชีฝากประจำแบบปลอดภาษี ลงทุนในกองทุนรวม หรือลงทุนในหุ้นบ้าง วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยให้เราสามารถไปถึงฝันได้เร็วขึ้น ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมศึกษาข้อมูลให้ดี ก่อนลงทุนเสมอ
รู้จักตัวเองดีขึ้น จากการเช็คเลเวลการออมกันไปแล้ว อย่าลืมเอาเคล็ดลับการออมสำหรับคนแต่ละประเภทไปลองปรับใช้กันดู เริ่มออมตั้งแต่วันนี้ อนาคตดี ๆ รอเราอยู่แน่นอน