รวมคาเฟ่จิบน้ำชา ที่เหมาะแก่การคุยงานยามบ่าย ในกรุงเทพฯ

0 Share
0
ชะลอความเร่งรีบของชีวิตในเมือง เปลี่ยนบรรยากาศการคุยงานให้รีแล็กซ์ขึ้นด้วยการไปจิบชา ณ คาเฟ่ Afternoon Tea ใจกลางกรุงที่จะทำให้ชีวิตคุณช้าลง

ไม่ว่าใครที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ น่าจะเคยมีความคิดแวบเข้ามาว่า “ถ้าชีวิตเราช้าลงกว่านี้สักนิดคงจะดี” แต่ด้วยกิจวัตรรอบตัวที่เร่งเร้าให้เราต่างต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในมิติของการทำงาน ทำให้ความคิดนั้นเป็นแค่แวบผ่าน สุดท้ายด้วยปัจจัยต่างๆ ทำให้เราต้องกลับไปรีบเหมือนเดิมอยู่ดี

แต่มีสถานที่หนึ่งที่จะช่วยชะลอความรู้สึกเร่งรีบของเราให้ช้าลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นก็คือ “คาเฟ่น้ำชา” ที่ต่อให้รีบเร่งขนาดไหน แต่ด้วยบรรยากาศอันละมุนละไมของกลิ่นหอมจากใบชาและเบเกอรี่ เสียงกระทบของกาน้ำชาและถ้วยกระเบื้องที่พร้อมใจกันมาต้อนรับอย่างอบอุ่น ผ่านบริบทแห่งความสงบและความประณีต เพียงวูบแรกก็ทำให้ใจเย็นลงได้ทันที
ลองเปลี่ยนบรรยากาศการคุยงานยามบ่ายที่ออฟฟิศ มาจิบ Afternoon Tea รสชาติโปรด เมื่อใจสงบ สมองก็ปลอดโปร่ง รับรองเลยว่าไอเดียใหม่ๆ จะพรั่งพรูออกมาอย่างง่ายดาย แล้วในกรุงเทพฯ มีคาเฟ่น้ำชาที่ไหนน่านั่งบ้าง ไปดูกัน
 
1. EDEN’S

หากไม่รู้มาก่อนว่าคาเฟ่นี้ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ แต่บอกว่าอยู่ที่ปารีสก็เชื่อ ด้วยกลิ่นอายตะวันตกในสไตล์ Rustic บนย่านเมืองเก่า ที่เมื่อแรกพบก็เหมือนต้องมนต์สะกดให้ผู้ที่เดินผ่านต้องเผลอแง้มประตู ก้าวเข้าไปในร้านแบบคนใจง่าย
 

กลิ่นหอมของเบเกอรี่ที่อบอวลชวนให้ลิ้มรส เคล้าเสียงเพลง Acoustic ที่เปิดคลอเบา ๆ ทำให้ความคึกคักของเมืองกรุงด้านนอกค่อย ๆ เลือนหาย กลายเป็นความผ่อนคลาย พาลเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศในร้านที่เรียบง่าย กะทัดรัดและอบอุ่นเหมือนบ้าน คุณเด่น - นิรามย์ วัฒนสิทธิ์ เจ้าของร้าน บอกกับเราว่า ส่วนตัวแล้วเขาเรียกที่นี่ว่าเป็น Bake Shop หรือร้านขนมอบ ที่เขาลงมือทำเองอย่างตั้งใจ
 
“อยากให้ร้านมีความเรียบง่าย สบายๆ ขนมทุกชิ้นที่ทำ ทำออกมาสดๆ จากเตาโดยแทบไม่แต่งเติมอะไรมากมาย อยากให้เกิดความรู้สึกเหมือนคนที่บ้านทำให้ทานตอนเด็กๆ  เป็นความรู้สึกที่เราเรียกว่า Hearty ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาในร้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกันกับเรา”
 

 
ที่นี่ใช้ชา Mariage Frères (มาริยาจค์ แฟรร์) ชาสัญชาติฝรั่งเศสที่มีอายุยาวนานกว่า 300 ปี ทันทีที่ Marco Polo (Fruity Black Tea) และ Rouge Metis (Flowery Red Tea) รินออกจากกา กลิ่นแห่งความสดชื่นก็ปลุกเราจากความง่วงยามบ่าย ในขณะที่เบเกอรี่โฮมเมดฝีมือคุณเด่นมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็น ความเข้มข้นของ Dark Chocolate ที่เข้ากันกับรสชาติของเบียร์ได้อย่างไม่น่าเชื่อของเมนูซิกเนเจอร์ “Dark Beer Cake”  ความเปรี้ยวอมหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเนื้อเค้กอันนุ่มลิ้นของเมนู “Lemon Loaf”  และความหอมหวานพอดีที่กลมกล่อมด้วยรสฟรุตตี้จากมะเดื่อของเมนู “Fig & Rum Cake”  ทั้งหมดนี้เมื่อได้ลิ้มรสไปพร้อม ๆ กับการจิบชา นับเป็นการคอมพลีท Afternoon tea ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ หากใครเป็นคอกาแฟทางร้านก็มี Black Coffee แบบอเมริกันเสิร์ฟแบบรีฟิลได้ตลอดเวลา ให้อารมณ์นั่งคุยงานเบา ๆ ยามบ่ายแบบเป็นกันเอง

สถานที่ตั้ง : 7/1 ถ.หลานหลวง (ใกล้หัวมุมแยกผ่านฟ้าลีลาศ)
เวลาเปิด :
วันอังคาร - วันพฤหัสบดี : 9.00 - 17.00 น.
วันศุกร์ - วันอาทิตย์ : 9.00 - 20.00 น.
หยุดวันจันทร์

2. The Museum of Floral Culture
 

พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ พื้นที่สีเขียวขนาดย่อมบนถนนสามเสน ที่อุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์อันร่มรื่น รอต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความร่มเย็น เมื่อก้าวเข้าไปเราจะพบกับบ้านโบราณสไตล์โคโลเนียลที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นที่จัดแสดงผลงานของพิพิธภัณฑ์ และสวนหย่อมหลังบ้านที่เต็มไปด้วยมวลไม้ (ค่าบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ราคา 150 บาท) ส่วนใครที่อยากมานั่งจิบ Afternoon Tea นั้น สามารถเลือกเซ็ตน้ำชาเสิร์ฟพร้อมขนมไทยหรือสโคน และใช้พื้นที่นั่งดื่มด้านนอกได้ (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) หรือหากเลือกทั้งเข้าชมและดื่มชาก็จะได้รับส่วนลดเพิ่ม
 

ที่นี่มีชาดอกไม้ให้เลือกสรรหลากหลายชนิด ซึ่งเป็นรสชาติเฉพาะที่พิพิธภัณฑ์นี้เท่านั้น เช่น “Turkish Pomegranate Cinnamon Tea” ความหอมของอบเชยเข้ามาทักทายทันทีตั้งแต่ยังไม่ได้ลิ้มลอง ยิ่งเมื่อนำมาคนเบา ๆ ผสมกับรสฟรุตตี้ของชาทับทิม ยิ่งหอมกรุ่นลงตัว
 

ยิ่งเมื่อได้จิบไปพร้อมๆ กับการลิ้มรสขนมไทย อาทิ ขนมต้ม ขนมเปี๊ยะ ถั่วแปบ ขนม Kalakand (ของอินเดีย) และขนมข้าวเหนียวหน้าปลาแห้ง ที่เสิร์ฟอย่างประณีต พร้อมๆ กับการซึมซับบรรยากาศความสงบของบริเวณชานบ้าน เชื่อเลยว่าต่อให้ชีวิตคุณเร่งรีบมาขนาดไหน คุณจะรู้สึกได้เลยว่าร่างกายชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด การคุยงานที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับใครที่ต้องการสมาธิและความเป็นส่วนตัว
 
สถานที่ตั้ง : 315 ถนนสามเสน ซ.สามเสน 28
เวลาเปิด : วันอังคาร - วันพฤหัสบดี : 10.00 - 18.00 น.

3. Peace - Oriental Teahouse 
 

คาเฟ่น้ำชาที่จะพาเราเข้าไปสัมผัสวัฒนธรรมการดื่มชาแบบตะวันออกได้อย่างแท้จริง ด้วยบรรยากาศที่เรียบง่าย ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลายตามสไตล์การดื่มชาแบบโอเรียนทอล
 

พนักงานที่นี่ต้อนรับเราด้วยการแนะนำเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน พร้อมพาเราไปสัมผัสประสบการณ์การจิบชาอย่างพิถีพิถัน โดยแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการดื่มชาร้อน อย่างชา Roasted Tieguanyin (เถียกวนยิน) ซึ่งเป็นชาอู่หลงหนึ่งชนิด ที่ให้กลิ่นหอมของใบชาที่ผ่านการคั่วมาเป็นอย่างดี และด้วยขั้นตอนการชงชาจีนที่ต้องมีการชงให้ถึง 3 ครั้ง และก่อนชงจะต้องใส่น้ำลงไปในกาและเทน้ำทิ้งเพื่อล้างฝุ่นที่เกาะบนใบชาออกก่อน โดยน้ำล้างนั้นเทราดทิ้งบนโต๊ะได้เลย เพราะเป็นโต๊ะที่ผ่านการออกแบบมาโดยเฉพาะของทางร้าน สำหรับในครั้งที่ 3 จะเป็นชารสชาติดีที่สุดเพราะใบชาจะคลายตัวเต็มที่ ซึ่งคนจีนจะให้ครั้งนี้เป็นถ้วยที่ชงให้ตัวเองดื่ม
 

เมนูถัดมา คือ Pastel Matcha ชาเขียวมัทฉะญี่ปุ่นใส่นม เสิร์ฟบนถ้วยชาแบบเย็น ความดีงามคือเราจะได้เห็นกระบวนการชง และการตีผงชาให้ขึ้นฟอง พร้อมกับฟังพนักงานอธิบายว่า “ไม่ใช่ชาเขียวอะไรก็ได้ที่จะนำมาทำเป็นมัทฉะ จะต้องเป็นชาเขียวเกรดสูง (Ceremonial Grade) ใช้สำหรับชงดื่ม โดยจะต้องให้รสชาติอูมามิ ซึ่งจะต่างกับชาเขียวที่นำไปใช้เป็นมัทฉะสำหรับทำขนมหรือเบเกอรี่” เมื่อได้จิบ Pastel Matcha พูดได้เลยว่ารสชาติอูมามิที่แท้จริงเป็นอย่างนี้นี่เอง ความเข้มข้นของมัทฉะ ที่แม้ใส่นมก็ไม่ทำให้กลบกลิ่นชาแต่อย่างใด ทั้งอร่อยทั้งสดชื่น
 

และเมนูสุดท้ายที่เราไม่อยากให้คุณพลาดสำหรับคอไอศกรีม กับเมนู Matcha Extremist ไอศกรีมชาเขียวมัทฉะ ที่ทางร้านเลือกใช้ชาเขียวมัทฉะเกรดสูง (Ceremonial Grade) โดยเฉพาะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีคนนำมาใช้ทำเป็นไอศกรีม ความหอมและเข้มข้นของมัทฉะและความหวานแบบกำลังดี คือคำนิยามของไอศกรีมเมนูนี้ที่เราสัมผัสได้ตั้งแต่คำแรกที่แตะปลายลิ้น และการเคลือบไอศกรีมด้วยผงถ่านไม้ไผ่สดนั้น นอกจากจะช่วยในการดูดซับคาเฟอีนแล้ว ยังช่วยเพิ่มฟังก์ชันความกรุบกรอบให้กับไอศกรีม Matcha Extremist ในระหว่างรับประทานได้ดียิ่งขึ้น
 
ใครที่กำลังเสาะหาบรรยากาศในการคุยงานที่ผ่อนคลาย สไตล์มินิมอล และเป็นคอชาเขียวญี่ปุ่น Peace - Oriental Teahouse แห่งนี้จึงเป็นคาเฟ่ที่คุณไม่ควรพลาด เพราะนอกจากรสชาติชาที่อูมามิแล้วนั้น พนักงานที่นี่ยังให้บริการด้วยความยิ้มแย้ม และให้ความรู้ในเรื่องการดื่มชาได้อย่างละเอียดครบถ้วน จนมั่นใจได้เลยว่าคุณจะกลับบ้านไปพร้อมกับความรู้เรื่องชาที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
 
สถานที่ตั้ง : ซอยสุขุมวิท 49 ตรงข้าม The 49 Terrace
เวลาเปิด : เปิดทุกวัน 8.00 – 22.00 น.

4. 1823 Tea Lounge & Boutique by Ronnefeldt

เลานจ์จิบชาสุดเอ็กซ์คลูซีฟแห่งเดียวในโลก โดยแบรนด์ชาสัญชาติเยอรมัน Ronnefeldt ที่เป็นแบรนด์ชาเก่าแก่อายุกว่า 192 ปี เป็นแบรนด์ชาระดับเอ็กซ์คลูซีฟที่ให้บริการสำหรับร้านอาหารและโรงแรมที่พรีเมี่ยมเท่านั้น ซึ่งตั้งอยู่บนศูนย์การค้าเกษร วิลเลจ ใจกลางกรุงเทพมหานคร
 
 
บรรยากาศอันหรูหราที่เหมาะกับการนั่งคุยงานยามบ่าย บนโลเคชั่นที่สะดวกสบาย ทำให้การเปลี่ยนสถานที่คุยงานมาที่นี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีและรวดเร็ว และจะทำให้คุณผ่อนคลายท่ามกลางความวุ่นวายในเมือง
 

ยิ่งเมื่อได้จิบชาซิกเนเจอร์ของทางร้าน ซึ่งเป็นสูตรที่ปรุงรสชาติขึ้นมาเพื่อ 1823 Tea Lounge & Boutique by Ronnefeldt โดยเฉพาะ ก็จะทำให้ความเร่งรีบยามบ่ายชะลอลงได้ง่ายขึ้น อย่าง “Bangkok Blend” ชาอู่หลงที่มีรสชาติความฟรุตตี้ของสับปะรดและมะละกอเป็นส่วนผสม ความเข้มข้นของชาที่มีกลิ่นของผลไม้ไทยคือความกลมกล่อมลงตัวที่เข้ากันเป็นอย่างดี และ “Gaysorn White Tea” ที่ตัวชาจะมีความบางและดื่มง่ายพร้อมกลิ่นอ่อน ๆ ของดอกไม้ที่เป็นส่วนผสมเคล้าคลอตลอดการดื่ม 
 

และหากใครต้องการอาหารมื้อหลัก ที่นี่ก็มีเมนูซิกเนเจอร์รสชาติเยี่ยมชวนให้ลิ้มลอง อย่าง “Tea Roasted Chicken Rice” เมนูข้าวมันไก่ที่ความพิเศษอยู่ที่การใช้ชาซีลอนนำมาต้มกับข้าว ทำให้ได้กลิ่นหอมของใบชาในทุกคำที่รับประทาน และเมนู “Matcha Carbonara with Truffle Oil” สปาร์เก็ตตี้คาโบนาร่าเส้นโซบะที่มีส่วนผสมของชาเขียวมัทฉะ เป็นความอร่อยเข้มข้นที่เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ รู้ตัวอีกทีก็ติดใจเมนูนี้ไปแล้วเรียบร้อย
 
และที่พิเศษไปกว่านั้น สำหรับใครที่เป็นผู้ถือบัตรเครดิตในเครือ กรุงศรีคอนซูมเมอร์ เมื่อรับประทานอาหารที่ร้าน 1823 Tea Lounge & Boutique by Ronnefeldt รับส่วนลดค่าอาหาร 5% เมื่อมียอดใช้จ่าย 500 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560 – 30 เมษายน 2561
 
สถานที่ตั้ง : 1823 Tea Lounge ชั้น 1 ศูนย์การค้าเกษร วิลเลจ
เวลาเปิด : เปิดทุกวัน 10.00 - 20.00 น.
 


ย้อนกลับ